งานรำลึกถึงคุณพ่อห่วง ศรีสุขวัฒน์

580611_ธรรมาธรรมะสงคราม ความรักอันยิ่งใหญ่ของโพธิสัตว์ (คลิกชื่อเพื่อดาวโหลดเอกสาร) , คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
พ่อครูว่า….วัน พฤหัสบดี ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ แรม ๑๐ ค่ำเดือนเจ็ด(๗)ปีมะแม วันนี้มี นร.มาร่วมฟังด้วย วันนี้ก็ขอวรรค มหาจัตตารีสกสูตรไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่พ้นต้องพาดพิงหรอก ศาสนาพุทธทำจิตให้เป็นสมาธิทั้งนั้น แม้จะพูดคำว่า ความรัก ก็เป็นการสร้างสมาธิ เหมือนกัน ก็จะนำเอาจดหมายรักของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ อีกที คิดว่าต้องเอามาขยายความอีก ต้องอธิบายกันอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก
นิยามคำว่ารักของ“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์”
ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า
“ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน
พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้
มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย พลังจักรวาลนี้คือความรัก
เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก
พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา
เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด
หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง
หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี
เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต
พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!”
พ่อของลูก /Albert Einstein….
Credit: Rafael Téllez-Girón
ประโยคสุดท้ายนี่เป็นการแสดงความรักต่อลูกอย่างบริสุทธิ์ ที่บอกว่าเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้ อันนี้ อาตมาเห็นว่าไอสไตน์ไม่ได้เปิดเผยต่อโลก แต่เปิดเผยต่อลูก แล้วค่อยเอาไปเปิดเผยต่อโลก ก็เผยแพร่มาจนถึงมือเรา ก็ยิ่งเห็นได้ชัด อาตมายิ่งเห็นลึกเข้าไปว่า ไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์แน่นอน เพราะคนธรรมดาพูดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ศาสนาเทวนิยมเขาก็พูดความรักของพระเจ้าได้ยิ่งใหญ่ แต่ว่า ศาสนาคงไม่ได้เทียบกับวิทยาศาสตร์แบบนี้ไม่ได้มี E = mc2 อย่างนี้ แต่อาตมาตั้งแต่อธิบาย ก็บวก A เข้าไป เพราะ A คือ abstract คือนามธรรม E = mc2 + A
ไอสไตน์เปิดเผยอันนี้มา แกก็มีความรู้ทางนี้อยู่ แต่ไอสไตน์ไม่ถนัดแจกแจงด้านนี้ จึงพูดทิ้งไว้ให้คนที่จะมาต่อยอดคือ นายรัก รักพงษ์ หรือสมณะโพธิรักษ์จะเอาอันนี้มาขยายความ ผู้ได้ศึกษาความรัก ๑๐ มิติจะได้เข้าใจเพ่ิมขึ้น อย่างเป็นวิชาการ
อาตมาได้ขยายความถึงลำดับมิติของความรัก ซึ่งจะมีนิวเคลียร์ รีแอคชั่น อย่างไอสไตน์ ได้เขียนถึงจิตที่เกิดในคน เป็นความเกลียดชัง ความโลก หรือราคะ ก็มีแรงผลัก กับแรงดูด เป็นหลัก ถ้าได้ศึกษาลำดับความรัก ๑๐ มิติก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า พลังงานเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสใน พุทธพจน์ ๗ ก็ให้คนมี จิตมีอาการของความรัก
จะเห็นได้ด้วยอาหาร ว่านี่คืออาการกาม ราคะ ที่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่ต้องการเสพรส เป็นกามตัณหา เป็นความอยากใคร่ที่ต้องการเสพรส ซึ่งมันเฟ้อ มันล้างได้ หมดได้ ในจิตของคนไม่มีสิ่งนี้ได้ยิ่งประเสริฐ แล้วเขาก็เข้าใจกันได้ว่า ถ้าไม่มีอารมณ์กามแบบนี้ คนจะไม่สืบพันธ์ แล้วคนจะสูญพันธ์ จริงๆแล้ว การสืบพันธ์เป็นหน้าที่ ที่มีอาการของสรีระ ที่บังคับกระตุ้นให้ทำงาน เป็นความจริงให้ทำหน้าที่ให้เสร็จ สัตว์หลายชนิดมันก็ทำหน้าที่
เพศหญิง สัตว์ไม่รู้กี่ชนิด มันไม่ได้ยินดี แต่มันก็ทำหน้าที่ ดีไม่ดีก็ถูกเพศผู้บังคับ เป็นต้น คนก็เหมือนกัน บางทีก็ต้องทำหน้าที่ ไม่ได้ยินดีเท่าไหร่หรอก เป็นต้น แต่มาครอบงำความคิดกัน จนยึดติดเป็นอุปาทาน ว่าเป็นรสชาติ ว่าเป็นส่ิงที่ให้ความสุขยิ่งใหญ่ ครอบงำมาไม่รู้กี่ล้านปี คนก็เลยติดยึดว่าเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็น ได้สำเร็จความใคร่ เอาอะไรมาแลกก็ยอมแลก เพื่อผู้หญิงคนเดียวก็เสียบ้านเสียเมืองได้เลย เพราะแย่งผู้หญิง แย่งคู่เสพเมถุน ซึ่งมันเป็นความรุนแรงเลวร้ายที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องไม่มีความจริง เป็นสุขเท็จ ผู้เข้าใจจะเห็นได้ว่าอาตมาพูดนี่เป็นความจริง ที่ไม่ง่ายที่จะรู้ จะละเลิกเบาบางลงไปอย่างรู้ๆนะ ไม่ใช่กดข่มให้มันเลือนๆไปแบบกดข่มสมถะ ไม่ใช่แบบนั้น ของพระพุทธเจ้านี้ลดละอย่างมีปัญญาว่ามันไม่ใช่รสที่จะต้องไปเสพติดอะไร แต่เมื่อถูกครอบงำความคิด ยึดติดหลงใหลเป็นกิเลสก็เข้าใจไม่ได้ แล้วก็ต้องบำเรออารมณ์นี้ๆกัน ซึ่งสูญเสียเปลืองเปล่า ติดยึดเสียเรี่ยวแรงทุนรอนแรงงานมาก เสีย calorie เป็นนิยายในโลกเยอะ เพราะความรักจึงเกิดพยาบาทรุนแรงเยอะ
แม้จะไม่ใช่เรื่องเสพรสของเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายก็ตาม แต่เป็นความใคร่อยากได้มาสมใจ ราคะนี่ต้องการเสพรสสัมผัสเสียดสี แต่ความโลภคืออยากได้มาเป็นตัวกูของกู เมื่อต้องการมาให้เสพรสหรือเอามาเป็นของกู ซึ่งมันไม่มีอะไรเป็นของใครหรอก ได้แค่ชาติเดียว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ก็รู้กันแต่ก็ต้องเอาให้ได้ ต้องฆ่าแกงกัน อำมหิตโหดร้ายรุนแรง ยิ่งฝึกตนให้เก่งด้วยเรี่ยวแรง หรือเก่งด้วยฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์เหลี่ยมจนคนอื่นพายแพ้ เอามาได้ ใช้ทั้งความรุนแรงและเล่ห์เหลี่ยมด้วยเพื่อที่จะเอามาเป็นของกู กกไว้ หรือจะเอามาใช้ประโยชน์ หรือบางที่ไม่ได้ประโยชน์แต่โลภเอามาไว้ คนอื่นก็เดือดร้อน คนเหล่านี้ตกนรกหมกไหม้วนเวียนไม่รู้กี่ชาติ นานกี่นาน ทุกข์ทรมานโหดร้าย เพราะสมใจในสิ่งเท็จ สุขคือสิ่งเท็จ แต่นรกคืออาริยสัจ ส่วนสวรรค์คืออัลลิกะ คนก็หลงแต่สิ่งฉาบฉวย เขาเอาลาภ เอาอำนาจปัจจุบันมากลบเกลื่อน ให้ได้มาเป็นตัวกูของกู ก็ไม่เห็นมีอะไรเอาลาภ ไปแบ่งทับได้ เกิดเหตุนิทาน สมุทัย ปัจจัยที่เลวร้าย มีนิยายไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง เกิดจากเหตุเหล่านี้ ที่ไม่รู้ความจริง เรื่องสวรรค์เท็จ นรกแท้
มันต้องพิสูจน์กันจริงๆ ต้องปฏิบัติให้มีดวงตาปัญญาที่จะอ่านให้รู้อาการของจิต ว่าอาการอย่างนี้ราคะ อย่างนี้กาม อาการอย่างนี้จะทำร้ายทำลายเขา เป็นโทสะ พยาบาท จะโหดเหี้ยมรุนแรง ถ้าคนไหนอ่านสัจจะนี้ออก รู้ว่ามันเลวร้ายก็ทำให้มันจางคลาย โดยเห็นว่ามันเป็นช่วงเป็นพัก ไม่ได้อยู่ถาวรยั่งยืนเลย มีแต่ความยึดหลงผิด ฝังในอนุสัย เดี๋ยวก็ผ่านไป พอไม่ได้ก็พักยก ไปหาอันอื่นมาบำเรอใหม่อีกต่อไปเรื่อยๆ สร้างนิยายชีวิตไปตลอดกาลนาน โดยไม่รู้ว่าตนหลงเสพความสุขเสพความบำเรออารมณ์
ผู้ไม่ได้ศึกษาจึงทำเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัวตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าสอนให้ละตั้งแต่หยาบๆ ที่ไปเบียดเบียนทำร้ายใครมันไม่มีประโยชน์มีแต่โทษต้องละก่อน แล้วเรียนรู้ว่าของตนมีอันไหน มันไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย มันไม่มีตัวตนเลย เป็นแต่เราไปหลงยึดติดว่ามันมี ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเลย
นิพพานคือความไม่มี หรือว่า ความว่าง ที่อาตมาเอาบทความในนสพ. มติชนที่ เขาว่า ทุกอย่างมีแต่ความว่าง จนสุดโต่งเลยเถิด เป็นอุจเฉทิฏฐิ คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์เรียนรู้เข้าถึงนิพพาน ที่ต้องเรียนรู้เป็นลำดับขั้น
ที่ไอสไตน์กล่าวถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ แต่อาตมาพูดถึงความรัก ๑๐ มิติ ไอสไตน์พูดถึงความรักยิ่งใหญ่คือความรักของพระเจ้า ก็ยิ่งใหญ่ ที่อาตมาพาพวกเราทำนี่ก็เพื่อสร้างความรักที่ยิ่งใหญ่ เราจะได้มีพลังงานเหล่านี้จริง ที่เราต้องทำหนักเพราะมันยังไม่มีตัวอย่างที่จริง ที่บริสุทธิ์ไม่มีซ่อนแฝง มันหายาก นอกจากจริงแล้วต้องมีปัญญา คนต้องมีจิตใจแบบนี้ ไม่มีตัวต้าน เห็นจริง จะมีอุตสาหะวิริยะ จะมีน้ำใจมีเมตตาเขา ลงมือช่วยเขา เพราะว่าเราได้พบแล้วได้สิ่งเหล่านี้แล้ว พ้นแล้วจากส่ิงที่ลำบากทุกข์ยาก ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจจริงเต็มใจทำ ช่วยเหลือมนุษยชาติ จะมีคุณธรรมที่เป็นพรหมวิหาร ที่เป็นอัปปมัญญา มีอยู่ตลอดเวลา ไม่จบสิ้น จึงเรียกว่าอัปปมัญญา ๔ หรือพรหมวิหาร ๔
เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วทำตนให้มีจิตใจยิ่งใหญ่ เป็นความรักอันเดียวกันกับพระเจ้า แต่มันคนละอันกัน
ผู้ใดทำได้เป็น หนึ่ง จากสอง ของคนนี้มีส่วนอดีต พระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นอดีต พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นปัจจุบัน แต่มีจิตที่มีคุณลักษณะอันเดียวกัน ถ้ามีลักษณะลึกซึ้งเท่าเทียมกัน อย่างสายเทวนิยมมีความรักยิ่งใหญ่ไม่ละเอียดลออ มีกายต่างกัน สัญญาเหมือนกัน เป็น พรหมวิหารเหมือนกัน แต่ของเทวนิยมไม่ชัดเจนเท่า และคุณภาพไม่จริงใจไม่สะอาดบริสุทธิ์เท่าด้วย และไม่มีรายละเอียด เท่ากัน ของพระพุทธเจ้ามีรายละเอียดมากว่าเยอะ เพราะเป็นความเกิดอย่างไอสไตน์ว่า
ความรักเป็นแสงสว่าง เป็นพลังงานที่จริงและยิ่งใหญ่ อาตมาก็จะนำเอาของไอสไตน์นี้มาประกอบอีกหลายที
m = รูป และ c = นาม ซึ่งพลังงานที่เกิดเป็นพลังงานสันติภาพ ไม่ใช่แบบพลังทำลายเช่นระเบิดปรมาณู ที่ทำลายมากมาย
หลวงปู่ได้อธิบายถึงพลังงานของคนสามารถเปลี่ยนจากความขี้เกียจเป็นพลังงานขยัน ขี้เกียจนี่มันถ่วงเราไม่ให้ทำงาน เราก็เปลี่ยนจากขี้เกียจ ปลดปล่อยพลังงานในตัวเอามาทำงาน ถ้าใจมียินดียิ่งเสริมพลังคูณเข้าไปอีก ก็จะมีพลังยิ่งใหญ่เราจะทำงานได้อย่างดีเลย
พลังงานความยินดี พอใจ ความรัก ปรารถนาดีที่จะสร้างสรร การสร้างวัตถุที่เป็นประโยชน์คุณค่าเป็นปัจจัยสำคัญแก่ชีวิต ก็เป็นความประสงค์ที่เป็นความต้องการและเป็นคุณสมบัติที่วิเศษดีงามด้วย ก็ผลิตออกมา แล้วก็แจกจ่ายเจือจานแก่มนุษยชาติ ใช้พลังงานสร้างสรร ให้มนุษย์ได้ใช้สอย เป็นประโยชน์ แทนที่จะเอาไปทำร้ายทำลายฆ่าแกง เสียหาย ก็เอามารวมสร้างสิ่งประโยชน์คุณค่าก็ใช้พลังงานทั้งนั้น กับทิศเป็นโทษก็คนละทิศ
เราเปลี่ยนจากพลังงานเป็นพิษ มาเป็นคุณค่าประโยชน์เป็นสิ่งดีงามก็เป็นการสร้างสรร จะเป็นผลผลิตข้าวของ เอามาสร้างสรรแรงงาน ออกแรงกันสร้างสรรไม่ได้ออกแรงทำลาย สิ่งไหนไม่ดีก็ออกแรงทำลายไป เราก็มีแรงทั้งสร้างผลผลิตหรือทำสิ่งที่ควรมีหรือทำลายสิ่งที่ไม่ควรมี ก็เป็นความรักอันอบอุ่น อยู่กันอย่างกลมกลืนสามัคคี ช่วยบรรเทาทุกข์ อะไรเฟ้อเกินก็ช่วยบอกให้อยู่อย่างดี เบิกบานร่าเริง อยู่กันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบแวดล้อมสมบูรณ์ครบครัน
ถ้าเราเข้าใจอาการของจิต พลังงานจิต แล้วสามารถสร้างพลังงานที่ไปต้าน ไม่ให้เรามีพลังงานอันดี ทำเต็มที่ เราก็ต้องเรียนรู้จิตเรา กำจัดตัวต้านเหล่านั้นออกให้หมด ไม่ได้กดข่ม แต่ต้านด้วยความรู้ที่มีปัญญา ต้านไว้ก่อนแล้วปัญญาจะเข้าไปสลาย เป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ ความร้อนที่มีพลังงานไปสลายพลังงานกิเลส ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ อุณหธาตุพวกนี้ให้สลายกันอย่างมีปัญญา
ให้ปัญญามันไปสลายกิเลส ให้ไฟฌาน เป็นไฟปัญญา ฌานกับปัญญาต้องมีด้วยกัน ไปสลายสิ่งเหล่านั้น ไปสลายความมีฤทธิ์ราคะ โทสะ หรือโมหะ สลายออกจากจิตเรา ผู้ทำได้จะรู้ว่าสลายได้เป็นแบบนี้
จากราคะโทสะก็มาเป็นความว่าง มันหายไปไม่เกิดโทษภัย ผู้ทำได้จะเห็นของจริงในจิตใจตน ว่ามันมีคุณค่าอะไร สังคมชาวอโศกกำลังสร้างคนมีคุณสมบัติจิตวิญญาณแบบนี้ ได้แล้วจะเป็นประธานของการกระทำการงานทั้งหมด คนก็มีจิตเป็นตัวประธานดีแล้ว จะนึกคิดก็ดี จะพูดก็ดี จะทำการงานก็ดี จนทำอาชีพก็ดี เป็นคุณค่าประโยชน์ไม่มีพิษภัย ได้มาก็แจกจ่ายเจือจาน ลดความเดือดร้อนแย่งชิง
ถ้าชาวอโศกมีคนมีอาริยธรรม มากเพียงพอ เราจะสร้างผลผลิตให้แก่ประเทศไทย แล้วพลเมืองไทยพอกินพอใช้ก็แจกไปสู่ต่างประเทศ จะเป็นการจำหน่าย จ่ายแจก ด้วยระบบบุญนิยม ที่ไม่ได้เจตนาจะเอากำไรหรือเอาเปรียบเขา แต่จำหน่ายอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อย่างในหลวงตรัส
ลึกๆอาตมามั่นใจว่า เราจะเป็นได้ เราจะเป็นได้ เพราะต้นทุนของคุณสมบัติแบบนี้ อโศกเรามีแล้ว แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ไม่งอกงามมาก แต่มีจริงๆ อาตมาจึงพากเพียรอยู่ไปนานๆอีกหลายปีเพื่อพิสูจน์ให้ความจริงนี้แก่โลก มันยากแต่เป็นไปได้ แล้วโลกต้องการมากด้วย
พอผลิตเป็นสิ่งของมา ก็ขายอย่าง ของดี ราคาถูก ของดี มีน้ำใจ ดีไม่ดีแจกสดด้วยถ้ามีพอ ถ้าเมืองไทยคนเป็นอาริยะแบบนี้แล้ว อยู่อย่างรู้การกินการใช้ไม่เฟ้อเกิน แต่ความสร้างสรรมีเยอะ ถ้าพุทธในเมืองไทยนี่ ๕๐% เข้าใจเช่นนี้เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ กินน้อยใช้น้อยแล้วทำผลผลิตให้มากจะมีเหลือไปเผื่อแผ่แจกจ่ายกันได้ ให้รู้จักกรรมกิริยา จารีตประเพณี แม้มีอีก ๕๐% ที่ไม่ใช่อาริยบุคคล ก็จะถูกพลังงานสนามแม่เหล็กแห่งนามธรรม ไปคลอบคลุม ให้ละอายต่อบาป แม้จะมาเป็นอาริยะเต็มตัวไม่ได้ก็ตาม
ถ้าเป็นจริงเช่นนี้ทรัพย์ศฤงคารส่ิงจำเป็นต่อชีวิตจะเหลือกินเหลือใช้ในเมืองไทย เราก็เอาไปแจกให้ต่างประเทศได้ เราก็เรียนรู้ความฟุ่มเฟือย ไม่ต้องพูดถึงฟรุ้งฟริ้งเลยมันเลยเถิดไปมากแล้ว เรามีมากเราก็เผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นได้มาก แจกฟรีได้เลยหรือขายขาดทุนก็ได้ถ้าไม่เก่งพอ ขาดทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นระบบบุญนิยมไม่ใช่ระบบทุนนิยม
โลกทุกวันนี้มีปัญญา ฉลาดกันแล้ว และมีมารยาทสังคมกันมากทุกวันนี้ทั้งโลก ดราม่่ากันด้วยมารยาทกันทั้งนั้นเลย ใช่ไหม? มันรู้ทุกอย่างว่าอะไรดีก็แสดงท่าทีดีๆออกมาแต่ลึกๆเห็นแก่ตัวกัน เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เขาก็เสแสร้งทำดีหรือ drama หรือ pretender กัน ทำเต๊ะท่าทำดีจะช่วยแต่ลึกๆแล้วจะมาเบ่งข่มมีอำนาจเหนือ แต่ลึกๆเขารู้ว่าไม่ดี เราก็ทำจริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมนี่แหละ ความบริสุทธิ์นี้มีอำนาจย่ิงใหญ่ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก…ในที่สุด เราทำแบบบริสุทธิ์ไปจะยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ เป็นพลังปรมาณูเพื่อสันติที่แท้จริงเลย
ทุกวันนี้แม้ไม่ง่าย แต่ก็ง่ายในระดับหนึ่ง อย่างคุณว่าอเมริกาทุกข์ไหม? ก็ทุกข์ประเทศไหนๆก็ทุกข์ ต้องเพลาทุกข์ในประเทศตนก่อน อาตมาว่าประเทศที่ไม่ค่อยทุกข์ก็คงจะบรูไน ประชากรไม่มากทรัพย์สินของประเทศมีเยอะ คนเกิดมาก็มีทรัพย์สินมีอัตราส่วนได้กินใช้อย่างบำเรอได้ แล้วก็ยังคุมประเทศโดยไม่เอาวัฒนธรรมฟุ้งเฟ้อ เพราะศาสนาอิสลามเขาคุมได้ แม้แต่อบายมุข เขาคุมไว้ดีจะอยู่ได้อีกนาน เขามีต้นทุน
แต่ของเราไม่เป็นเช่นนั้น ของเราเป็นประเทศไม่รวย อย่างในหลวงว่า เราจะไม่อุดมสมบูรณ์มากเหมือนบรูไนหรอก แต่พฤติกรรมสร้างสรรเราจะมีมาก ยืนยันพฤติกรรมมนุษย์ที่สร้างด้วยน้ำแรงน้ำมือ ไม่ใช่ขูดจากธรรมชาติ แต่สร้างจากน้ำมือเราไปแจก เขาก็จะรู้คุณค่า ยิ่งกว่ากันอย่างชัดเจน ส่ิงเหล่านี้เหมือนความเพ้อฝัน แต่มนุษย์นี่แหละต้องทำให้ได้ อันอื่นทำไม่ได้หรอก
ทิศทางที่อาตมาพูดนี่จะพาพวกเราไป ใครฟังแล้วไม่น่าเอาก็ต้องรีบถอนแต่ถ้าใครฟังแล้วน่าเอาก็รีบมา แต่คนไม่พร้อมก็ไม่ควรมา แต่ถ้าพอได้ก็เข้ามา ที่นี่ยินดีต้อนรับ
อาตมาจะลองดูว่าอีก ๑๐ ปีข้างหน้า มันจะมีอัตราการก้าวหน้าตามอุดมคติหรืออุดมการณ์หรือวิสัยทัศน์ของอาตมา จะมีรูปร่างเป็นจริงสักแค่ไหน มาช่วยกันสร้าง เราจะสามารถประมาณหรือประเมินจากต้นทุน ว่ามันน่าจะได้อัตตาก้าวหน้าเท่าใด อีก ๑๐ ปี อาตมาว่า ไปดูพศ. ๒๕๖๘ กัน มันจะมีผลก้าวหน้าสักเท่าไหร่ จะมีรูปร่างความจริงอย่างที่อาตมาพูดไหม หรือจะล้มเหลวระเนระนาดหรือว่ามันจะช้าจนไม่ไหว มันจะรู้ ตอนนี้น้อยกว่า ๑๐ ปีอย่างเพ่ิงวัดผลเลย เอาสัก ๑๐ ปี
พลังปัญญาจะช่วยขับเคลื่อน เป็น กำลังของ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จะมีความพากเพียรในทิศทางที่เรามี ใจจะมีความโถมให้ มีจิตตะ มีวิมังสา แท้ๆ จริงๆวิมังสาคือ เนื้ออย่างยิ่ง คำว่า มังสาคือเนื้อ จะได้เนื้อแท้ อย่างยิ่งเลย จากผลของอิทธิบาทนั่นแหละ
ที่กำลังบรรยายธรรมะ กำลังลงถึงฟิสิกส์ของชีวะ ทั้งเคมีของชีวะ เป็นโครงสร้างของฟิสิกส์ เคมี สร้างธาตุจิตที่วิเศษ ที่จะมาร่วมทำงาน
ความเป็นพีชะซ้อนในจิตนิยาม สั่งสมในคลังจิตวิญญาณ เราต้องเอาอกุศลกรรมออก จะเป็นธรรมนิยามเป็นคลังสมบัติที่ยิ่งใหญ่ นอกนั้นก็สร้างเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม สั่งสมเป็นธรรมะ
กรรมที่จะสร้างกุศลอย่างเดียวต้องทอนอกุศลกรรมที่เป็นตัวเหตุ จิตในจิตเราต้องเรียนรู้อกุศลจิต อย่างรู้ตัวรู้ตนและมันแทรกในเวทนานี่แหละที่เราจะรู้ได้ จึงรวมลงที่เวทนา แล้วก็ทำไปเรื่อยๆเป็นธรรมะคู่ จะรู้แจ้งเป็นนามธรรม สิ่งที่ถูกรู้นี้เราเรียกว่ารูป จะรู้รูปแท้จิรงต้องมีผัสสะ เป็นปสาทรูป โคจรรูปกระทบแล้วเกิดวิญญาณ
เป็นภาวรูป ๒ เป็นอิตถีภาวะหรือปุริสสภาวะ เป็นพลังงานเพศชายหรือหญิง ต้องทำลานอิตถีภาวะ ให้กลายเป็นปุริสสภาวะให้หมดต้องรู้ ชีวิตินทรีย์ของมัน เป็นพลังงานชีวิตเพศหญิงที่ต้องล้างออกให้หมด พลังงานที่เหลือแปรตัวเป็นภวันติ เป็นพลังงานกุศล พลังงานดี สร้างสรร เราจะรู้ได้ในภาวรูป ชีวิตรูป ให้เป็นปุริสสินทรีย์ ต้องอาศัย อาหาร ๔ อย่างอาหารูป เป็นเครื่องอาศัย พระพุทธเจ้าก็แจกให้รู้ เป็นอาหาร ๔ เป็น กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
กวฬิงการาหารให้เรียนรู้กามคุณ ๕ ในนั้นมีผัสสหาร ให้ทำตัณหาที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหาให้หมด ด้วยวิภวตัณหาที่เป็นความว่างทำไปอย่างเป็นปริเฉทรูป แต่ละกรอบของประมาณตามปริเฉทหรือปริตตังให้ได้ฐานความว่าง หรืออากาสาฯ แล้วทำงานสร้างกายวิญญัติ วจีวิญญัติให้แก่โลก ด้วยการควบคุมวิการรูป ๕ ด้วยมีลักขณรูป ๔ เพื่ออาศัยต้องรู้พลังงานลีลาความเคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านี้ จนตัดสันตติได้ จะปล่อยหรือจะต่อก็ได้ ให้สลายเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นหมด half life ไปจนสูญเลย เข้าหาธาตุเบาไปเรื่อยๆ เราก็เลือกเอาธาตุหนักที่เราทิ้งพลังที่เราไม่ต้องการให้สลายตัวหมดไปเองด้วยตัวของมันเอง นี่คือความรับผิดชอบของผู้เจริญ
ในผู้กำหนดได้คือชีวะ เรามีจิตนิยามก็สร้างพลังงานอันนี้ ส่วนพลังงานวัตถุ คนที่อวิชชาก็สร้างส่ิงที่ฉิบหายวายป่วง จนบรรยากาศโลกทะลุแล้วก็ด้วยคนนี่แหละ โลกทุกวันนี้แกนโลกเสียสูญไปเรื่อยๆ ถ้าทำคนให้ดีก็จะเป็นคุณ ส่งเสริมให้เกิดส่ิงดีงามไม่เดือดร้อน เรามีธาตุรู้ที่จะไปจัดการ อย่างอุตุหรือพีชะจะไปรู้ได้อย่างไร แต่ตัวจิตที่โดยเฉพาะมาเป็นมนุษย์นี่สิ นี่จะทำลายโลกกัน ได้เก่งที่สุด
จึงเป็นหน้าที่ถ้าเกิดเป็นคน อาตมาเห็นว่าคนต้องทำเช่นนี้ไม่ใช่เกิดมาเป็นตัวร้ายแล้วก็ต้องรับวิบากไป ที่เกิดมาเป็นจิตนิยามเป็นมนุษย์นี่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว สุดยอดดีที่สุดแล้ว ผู้มีปัญญาอย่าเสียเวลาไปหลงเลอะเทอะอยู่เลย แม้แต่ในพวกเรา อาตมาพูดไปก็ไม่เคยจี๋จ๋า ไม่เคยเห็น อโศกฟีเวอร์เลย แต่ยุคหนึ่งเคยเห็นฟีเวอร์พระพยอมหรือยันตระ แต่ละสำนักเขามียุคฟีเวอร์แต่อโศกนี่ไม่มีฟีเวอร์เลย แล้วอาตมาไม่หวังฟีเวอร์กับคนภายนอกนะ ถ้ามาแล้วรับไม่ไหว อย่างเช่น คนรุมทึ้งเอลวิส อาตมาไม่ต้องการฟีเวอร์แบบป่าเถื่อนไม่เข้าท่านะ แต่ฟีเวอร์คือเห็นว่าสิ่งนี้น่าได้น่ามีน่าเอาต้องมาทำอย่างนี้ลดละ เมื่อไหร่หนอจะรู้สักที แต่อาตมาก็ไม่ได้หวังว่าจะเป็นได้นะให้แค่อัตราก้าวหน้าของคนเรียนรู้แบบนี้เป็นปฎิภาคทวีก็ดีแล้ว แต่ทุกวันนี้ดูทวี แต่ทำไมดูหนืดจัง อัตราก้าวหน้าทำไมแค่บวกเป็นจุดทศนิยมด้วย จะมีอัตราก้าวหน้าสัก ๑หรือ ๒ % ก็พอได้นะ มันก็ช้าและน้อยอยู่ แต่ที่พูดไปนี่ไม่ได้ท้อถอยท้อแท้นะแต่พูดตามเนื้อผ้า ซึ่งยิ่งเห็นได้ว่ามันไม่ค่อยก้าวหน้าอาตมายิ่งพากเพียร แต่ไม่ใช่ว่าเห็นไม่ก้าวหน้าก็ท้อแท้ท้อถอยไม่ใช่ อาตมากลับเห็นว่ายิ่งต้องพากเพียรยิ่งขึ้น เพราะอาตมาเห็นว่าสิ่งนี้มันดีที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ก็ต้องยิ่งพากเพียรนะ อาตมาเห็นอย่างนี้เลยต้องทำ จะเห็นได้ว่าท้อแท้ท้อถอยอาตมาไม่มีหรอก เพราะว่ามันมีความชัดเจน ยิ่งไม่ค่อยจะได้ยิ่งน่าเห็นใจมากขึ้น ก็ต้องยิ่งช่วยมากขึ้น เป็นสัจจะ ทิศทางของกุศล ทิศทางที่ดีจะผนวกเสริมกันไป มันไม่มีท้อแท้ถอยทิ้งหรอก
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ไม่มีเลือดการถอย เคยบอกแล้วว่าไม่พาถอยแม้ก้าวเดียวและไม่พาลงดินแม้แค่ครึ่งเมล็ดงา มันจะตีร่นให้เราถอยก็ต้องยืนหยัดไม่ถอยแม้ก้าวเดียว ก็ไม่ได้ถึงเสียก้าวนะแม้แต่เราแพ้คดี ต้องไปติดคุกรอลงอาญา คุมประพฤติ
อาตมาก็ตรวจสอบนะ คนที่เข้ามามีพฤติกรรมเช่นนี้ อาตมาก็มั่นใจว่า เป็นมนุษย์แล้วมาทำอย่างนี้น่ะดีที่สุดแล้ว ไปศึกษาเอาว่าทำอย่างไร มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ อาตมาว่าอาตมาเดินตาม รอยพระพุทธเจ้าแท้จริง แม้แต่ว่าเดินตามรอยพระมหากษัตริย์คนหนึ่งของไทยก็ใช่ แล้วคนเข้าใจได้เยอะแต่ยาก แม้แต่ต่างประเทศก็เข้าใจยาก แต่คนไทยนี่เข้าใจได้เยอะ คะแนนเสียงของในหลวงได้เยอะ เพราะไม่ได้เสแสร้งหรือดราม่ากัน แต่คนที่เพ่งโทสก็มีได้ อาตมาประมวลพระจริยวัตรทั้งหมดแล้วก็บอกว่าไม่นึกว่าจะได้พบกับ King of king ในโลก ซึ่งเป็นคำตรัสที่ยิ่งใหญ่มาก อาตมาเห็นใจพวกที่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นค่า แล้วจะมาทำลาย พวกที่เขาทำอยู่ก็ตาม อาตมาก็ว่า มันก็บังคับปัญญาคนไม่ได้มันจะมองอะไรไม่เห็นก็เพราะความไม่รู้ของเขาก็ธรรมดาธรรมชาติ แต่เราน่าภาคภูมิใจที่ได้เห็นของจริง ไม่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายในแต่ละสมัยนะ
เป็นสมัยที่ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ที่ต้องฆ่าแกงเลือดนองก็ไม่ใช่ แต่ยุคนี้ใช้คุณงามความดี แล้วพระมหากษัตริย์ไทยเราใช้คุณงามความดีที่ไม่เสแสร้งเลยแต่คนเราไม่เข้าใจจิตวิญญาณในหลวง ท่านอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ พิธีการที่ต้องอยู่ในขัตติยสารูป ซึ่งคนไม่ค่อยเข้าใจ เป็นสมณะก็ต้องมีสมณสารูป ที่เหมาะสมท่านเป็นกษัตริย์ก็ต้องมีขัตติยสารูป ย่ิงพวกที่ว่าต้องมีเสมอภาคกัน ก็ขำนะที่เขาทำเหมือนเด็กไม่เดียงสาทำกัน ดูช่างไร้เดียงสาจริงๆ ที่อาตมาต้องขำออกมา มันรู้สึกเช่นนั้นจริงไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ช่างไม่รู้เสียเลย ยิ่งกว่าลิงได้แหวน ไก่ได้พลอยนะ
อาตมาได้ขยายความ ตอนนี้ลองติดตามที่อาตมาอธิบายสาธยาย ที่เป็นความรู้ชนิดใหม่ที่เอาชีวะ เอาเคมี เอาฟิสิกส์ผสมผสานกัน ก็มาติดตามฟังกันดู อาตมาว่าเรียนรู้ไปแล้วไม่เสียหลายหรอก เรียนรู้แล้วจะได้ประโยชน์สร้างสรรให้แก่ตนเองและสังคม
บทปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่สอนมา ให้เป็นอาริยะหรือคนโลกุตระ ศึกษาไปตั้งแต่บทแรกของโลกุตระ ๓๗ ให้ได้โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นสกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล ก็ด้วยโลกุตระ หรือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี่แหละ โดย สูตรหลัก เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่เหนือชั้นว่า E = mc2 ที่เป็นสูตรสัมพัทธภาพ เป็นไหนๆ จะเรียกว่าโลกุตรภาพหรืออาริยภาพดีนะ
เราทำกันถึงบุญนิยมสาธารณโภคี ชุมชนชาวอโศกทำได้แล้วแต่คนข้างนอกเขาดูถูกไม่เห็นค่าว่าแอคทำเท่านั้นจะไปได้เท่าไหร่ แต่เขาไม่เชื่อว่าจะมี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ซึ่งเขาก็พยายามคิดสูตรที่ถาวรกัน แม้คสช.ก็พยายามร่างรธน.ให้ยืนยาวนานเหมือนดร.เอ็มเบดก้า ที่เขาร่างแล้วอินเดียก็ใช้มาไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาก็อยากทำให้ได้ยาวนาน แต่มันไม่ง่ายหรอก เพราะมันจะถาวรได้ต้องมีแก่น
ที่อาตมากล้าพูดว่าชาวอโศกทำได้เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ใครจะมาตายที่นี่บ้าง ก็หมายความว่าแม้จะไม่ได้ก็ขอตายในฝั่งนี้ ไม่ไปตายในฝั่งโน้น คำถามนี่เป็นคำถามที่วัดความเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ลึกๆแล้วเกิดสัจจะความจริงแล้วเป็นได้ มันไม่เปลี่ยนแปรเป็นอื่นเลย หักล้างไม่ได้ อาตมาเห็นธาตุเหล่านี้ในตนเอง ๔๕ ปีแล้วอาตมามาทางนี้แล้วไม่เห็นว่าทิศทางอาตมาจะคดงอไปไหน แม้มีอุปสรรคจะมาหักล้างมากมายก็ไม่เคยถอย อาตมาก็ดูมวลแล้ววัดค่า อย่างสิกขมาตุก็อยู่กันตายไปก็ไม่รู้กี่คนแล้ว ก็ตายไป ที่ออกไปมีเปอร์เซ็นต์น้อยทั้งที่แสนเข้มนะ สิกขมาตุเราไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่มีบ้านช่องเรือนชาน บวชแล้วไม่สะสม ก็อยู่กันมาตายไปหลายรูปแล้วก็จะอยู่กันไปอีก แล้วก็ไม่เห็นท่าว่าใครจะออกหรือหนี มีแต่จะให้เก็บศพกัน ผู้ชายก็อยู่กันเยอะ แต่ก็มีออกไปบ้างก็ไม่มาก เพราะไม่ใช่อยู่ได้ง่ายๆ อยู่อย่างพวกเรานี่นะ ….
ขณะนี้ไม่ว่าทางโลก เราก็กำลังเชื่อมโยง เอื้อเอื้อเกื้อกว้าง เราก็ต้องการมวล บุคคลเพิ่ม เราต้องการคนอย่างเดียว งานตกคน ขาดคนที่มาทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อประเทศเพื่อมวลปชช.จริงๆ ไม่ได้ใช้ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข มาที่นี่ไม่ได้ปิดบังบอกตรงๆเปิดเผย ว่าต้องการสิ่งนั้นจริงๆ ผู้ใดเห็นแล้วไตรตรองให้ดี ชีวิตนี้ไม่ได้ยาวนานนัก ชีวิตที่เหลือ มาเอาส่ิงที่เป็นพรของพระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบไว้ เป็นสัมมาปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็อย่าช้า มาร่วมกัน เราจะได้ช่วยตนเองช่วยสังคม ช่วยประเทศ แล้วช่วยโลก เดินทางเป็นเช่นนั้นต่อไป เพราะทิศทางจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ …. จบ
Related posts