
580813_ธรรมาธรรมะสงคราม ตอบแทนคุณแม่อย่างไรให้บริบูรณ์ ตอน ๒ (คลิกชื่อเพื่อดาวโหลดเอกสาร) , คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
พ่อครูว่า… วันนี้วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ส.ค. ๒๕๕๘ เมื่อวานนี้เป็นวันแม่แห่งชาติเพิ่งผ่านไป ที่จริงเขาฉลองทั้งเดือนนะ เมื่อวานอาตมาได้อธิบายความเป็นแม่ไปหลายนัย ได้เห็นความเกี่ยวโยงทางสังคม ทางสายเลือด และทางนามธรรม อาตมาได้อธิบายไปบ้างว่ามันก็มีแม่มีพ่อเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงความเป็นแม่เป็นพ่อทางจิตวิญญาณ ภาษาบาลีเรียกว่า โอปปาติกะ
ได้ขยายความถึงการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ต้องทดแทนให้พ่อแม่มีอาริยธรรม ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ซึ่งทุกวันนี้เขาอธิบายกันแค่กัลยาณธรรม แต่ของพุทธเน้นโลกุตรธรรม อันเป็น ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ประเด็นที่จะเข้าถึง เปลี่ยนจากโลกียะ เป็นโลกุตระนี่ เป็นกรอบขีดคั่น ที่จะต้องศึกษาหยั่งรู้ถึงจิต เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนตระกูล DNA เลย จากตระกูลโลกียะ มาเป็นโลกุตระเลย เป็นเรื่องวิเศษ ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่นำมาประกาศ ศาสนาอื่นใดก็ไม่รู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่เข้าใจได้
แต่พุทธศาสนาทุกวันนี้ไม่เข้าถึงปรมัตถ์นี้ แล้วก็หลงทิศทาง ประเด็นสำคัญแม้แต่ภาษาก็เอามาใช้ปนกันไป มันไม่ชัด แต่ถ้าชัดจะไม่คาบเกี่ยวกัน มีการตัดรอบ ตัดขาดจากกันได้ว่า อย่างนี้โลกียะ อย่างนี้โลกุตระ ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม ที่เมื่อพัฒนาจิตให้เกิดเป็นโอปปาติกโยนิ จนมาเป็นคนตระกูลใหม่ เปลี่ยน DNA มาเป็นคนเจริญจริงๆ เป็นความเจริญที่ดี อย่างมีหลักประกัน เพราะกิเลสมันดับมันลดจากจิตที่เป็นตัวประธาน อย่างมีหลักประกันไม่เปลี่ยนแปลง กิเลสถูกล้างออกไปจากจิตไม่มีแล้ว จิตพัฒนามาเป็นลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์
เป็นเรื่องถอดตัวตน สำหรับ DNA โลกุตระหรือรหัสพันธุกรรม คำนี้ถูกต้องแต่มันผิด ที่ถูกคือเปลี่ยนจากพันธุกรรมมาเป็นพันธ์แบบพระพุทธเจ้า เปลี่ยนทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เปลี่ยนทางสรีระ ที่ทางโลกใช้ผิดว่าเป็น พันธุกรรมไปเสีย
สัตว์เดรัจฉาน คนก็พยายามเปลี่ยน DNA สรีรพันธุ์ ของสัตว์ แต่ก็กลัวจะเปลี่ยนของคนอีก แต่ก็เป็นแค่เรื่องการเปลี่ยนสรีระ ให้มันสังเคราะห์เปลี่ยนรูปร่างกาย ตามที่ตนต้องการ เขาก็มีความรู้พอได้ แต่จริงๆไม่ใช่เปลี่ยนกรรมพันธ์ ที่ต้องศึกษาเปลี่ยนกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม อันเป็นต้นเชื้อเลย ที่เป็นเชื้อสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เป็นสัตว์โอปปาติกะ
ศาสนาพุทธรู้แจ้งเห็นจริงเลยว่า สัตว์โอปปาติกะ สัตว์เดรัจฉานนี้เป็นอย่างไร ให้จิตเจริญจิตสูงขึ้นเป็นอย่างไร เปลี่ยนข้ามพันธ์ุกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่เที่ยง ทางโลกียะเปลี่ยนได้อัตโนมัติ เช่นเปลี่ยนจากสัตว์นรกเป็นสัตว์เทวดาเก๊ แล้วก็เปลี่ยนเป็นสัตว์นรกใหม่ ได้มาเสพก็เป็นเทวดาเก๊อีก เดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนอีก ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเทวดาจริง มันเป็นตัวหลอกไม่เที่ยง การมีจิตยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานในอนุสัย ที่ปุถุชนเข้าไม่ถึง ผู้เรียนรู้พุทธศาสนาก็ยังไม่เกิดญาณปัญญาที่เหมือนกล้องส่องให้เป็นสภาวะสัตว์เหล่านี้ แล้ววิธีแก้คือลดสัตว์เหล่านี้ ออกไปจิตก็สูงขึ้น ฆ่าสัตว์เหล่านี้จิตจะเป็นปัญญาชัดเจนรู้ว่ามันเจริญเพราะเหตุนี่ ไม่หลงใหลได้ปลื้มเช่นนี้ ไม่ไร้สาระเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงพาเราทุกข์เสียเวลา แล้วจะทำได้ถาวรด้วย ข้ามพันธ์ุมาเป็นสัตว์โลกุตระ เป็นเทวดาอุบัติเทพ ส่วนเทวดาโลกีย์เป็นสมมุติเทพ ทุกคนเป็นโดยสัญชาติญาณ ตามประสาปุถุชน สัตว์ทั่วไป
พระพุทธเจ้าท่านมาเปลี่ยนพันธ์ุแล้วเป็นแบบที่สืบทอดกันได้ ส่วนโลกียะสืบทอดกันโดยธรรมชาติ โดยสัญชาติ ทางสรีระ ทางเซลล์ที่เป็นเชื้อพันธ์ุ ทาง DNA หรือ Chromosome ส่วนข้ามชาติเขาก็เปลี่ยนจากชาติของทวดของตาของยายสืบทอดมาสู่เหลนโหลน ไม่เปลี่ยนพันธุ์ง่าย แต่ทางมนุษย์นี่เขาห้ามเปลี่ยนพันธ์ุกัน แต่ถ้าคนไปผสมพันธุ์กันเอง เช่นพันธ์มองโกเลี่ยนผสมนิโกรเลี่ยน หรือมองโลเลี่ยน ผสมกับคอร์เคเซี่ยนได้อยู่ แต่คนอย่าจับเอาเชื้อเหล่านี้มาเปลี่ยนนะ เขาว่า เสียจริยธรรม แล้วเขาไม่แน่ใจว่า การเอาของพืชมาใส่สัตว์ เอาของสัตว์มาใส่พืชจะมีความเสียหายไหมเขาก็กลัว
แต่พระพุทธเจ้านี่เปลี่ยนพันธุ์ทางจิตวิญญาณ ได้อย่างวิเศษ ไม่เสียหาย จากพันธุ์โลกียะมาเป็นพันธุ์โลกุตระ เป็นคุณแก่ตนและแก่โลกจริงๆ เปลี่ยนสำเร็จ เปลี่ยนแล้วไม่คืนกลับด้วย แม้แต่โสดาบันก็มีนิยตะ เที่ยงแท้ โสตาปันนะ เข้ากระแส แล้วเจริญเป็นอวินิปาตธรรม จนข้ามถึงนิยตะก็ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
แล้วเราจะรู้จักความเป็น แม่เป็นพ่อที่จะร่วมกันเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ได้ เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เพื่อให้เกิดจิต หรืออธิจิต ศีลกับปัญญาสร้างให้เกิดจิตใหม่ เป็นจิตโสดาบัน จิตสกิทาคามี จิตอนาคามี จิตอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วยังต่อภพภูมิได้อีก เป็นยอดแห่งความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ซึ่งยาวกว่า ตอนจะเป็นอรหันต์อีกเยอะ เปลี่ยนเผ่าพันธ์ุได้จริง ที่พูดนี้เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ พูดได้อย่างไม่ได้เดาเลย เราได้ผ่านของจริงพวกนี้มีของจริงพวกนี้ ผ่านชาติต่างๆที่ได้สะสมความรู้เหล่านี้มา ก็ต้องขออภัยคนที่เห็นว่าเรื่องเหล่านี้อวดไม่ได้ แต่อาตมาไม่มีจิตอยากอวดแล้วมีของจริงก็อวดได้ เจตนาให้รู้ว่ามีจริง คนจริงๆเป็นได้
ผู้ใดได้บรรลุอาริยธรรมจริงๆ อย่างเด็กๆนี่ถ้าได้มาเรียนรู้ อาตมาสอนไม่เก่ง หากเรียน ๖ ปีควรได้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จบแล้วได้อรหันต์ก็เรียนโพธิสัตว์ต่อ แล้วเอาความรู้เทคนิคมาช่วยคน จะเรียนรู้ศาสตร์ไหนก็จะเป็นเครื่องมือช่วยโลกอย่างวิเศษ น่าเสียดาย ไทยเราเป็นไม่ได้อย่างว่า แม้ไม่ได้อย่างว่ามัธยมไม่ได้ก็น่าจะได้ป.ตรีหรือจบป.เอกน่าจะเป็นอรหันต์นะ จบป.เอกเป็นอรหันต์แล้วไปบริหารบ้านเมือง จะสงบสุขมากเลย แต่นี่เขาไม่เห็นคุณค่าและไม่ส่งเสริมด้วย
ทุกวันนี้เรายังไม่ลงตัว ต้องทำต่อไปจนกว่าเราจะมีเวลาว่าง เป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย อาตมาจะพาเสวยอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีหลักประกัน ไปเสวยอารมณ์แล้วติด ดำดิ่งเป็นดำฤษณา ว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็นตามรสโลกียรสโลกๆ ติดยึดดูดดึงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น แม้โลกียะไร้สาระก็เอาสิ่งที่เราเหน็ดเหนื่อยหาไปแล้ว ที่ทำงานหนักกว่าจะได้ผลผลิตแล้วไปหลงติดดำฤษณา ต้องดูมวย ต้องเสพอบายมุข พวกนี้
ตอนแรกอาตมาไม่พาบันเทิงอะไรเลย แต่ต่อมาก็พอได้ก็นำโทรทัศน์นำบันเทิงมาบ้าง ใหม่ๆก็ต้องคุมเคร่งกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอะไรกันนักหนานอกจากเด็กๆ ที่เห่อซีรีย์ก็เห่อกันเป็นเรื่องๆ แต่ก่อนอาตมาเซ็นเซอร์เองด้วย เหน็ดเหนื่อยนะ
ก็ไม่เห็นคนติดมากก็มีบางคนที่หลงไปบ้าง แต่ก็มีคนเป็นแกนไม่หลงไป ก็ระวังคนที่หลงว่าอย่าไปหลงเพลิดไป มันเป็นเรื่องเล่นๆสมัครเล่น ไม่ใช่เรื่องของชีวิต ไม่ใช่เรื่องอาชีพ สังคมใดหากเอาอบายมุขสิ่งเสพติดการละเล่นมาเป็นอาชีพ สังคมนั้นคือสังคมเสื่อม ไปส่งเสริมเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นงานหลักของชีวิต อาตมาว่าเป็นสังคมเสื่อม โลกทั้งโลกเขาไม่รู้
ต้องขอพูดถึงในหลวงที่ท่านอาจหาญแกล้วกล้าพูดคำยิ่งใหญ่ The great word ที่ตรัสออกสู่สาธารณโลกเลย
พวกเราเกิดเชื้อทางจิตวิญญาณโลกุตระ เชื้อเหล่านี้ก็จะแพร่เชื้อ เป็นแม่เป็นพ่อ ต่อๆไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้อาตมาก็อธิบายต่อเลย
_มี sms มาว่า ทุกสิ่งอย่างที่ท่านเทศน์เป็นโมเดลใหม่ความคิดใหม่ของโลก เมื่อไหร่โลกหายนะจะระลึกถึงโมเดลใหม่ของท่าน
พ่อครูว่าก็คนนี้เขาเข้าใจนะ แท้จริงคือของพระพุทธเจ้าเป็นโมเดลที่เก่าสมัยใหม่เสมอ
_พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดพุทธมารดามีพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ไหม
ตอบ…ก็อาตมาไม่ได้ไปเรียนกับเขาก็ขอตอบตามที่รู้ว่า พพจงโปรดพุทธมารดาก็คือโปรดแม่ที่จะร่วมต่อเชื้อของพุทธต่อไป แล้วอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เป็นการเรียบเรียงไว้ ๗ คัมภีร์ความจริงแล้วที่ท่านสอนนี้อภิธรรมทั้งนั้น คือโลกุตระ ธรรมะที่จะพาไปโลกุตระทั้งนั้น ภิกษุทุกรูป พระพุทธเจ้าสอนให้บรรลุอภิธรรมทั้งนั้น ท่านโปรดมารดาคือโปรดภิกษุที่จะมาเป็นผู้เผยแพร่ธรรมะนั่นเอง
_ถ้าใครว่าเราโง่บ้าก็ย้อนมาดูว่าเราเคยหลงโกรธคือโง่หลงโมโหคือบ้าตอนไหน?แล้วก็ต้องดับสังขารไอ้ตัวปรุงแต่งกิเลสตัณหาอุปาทานให้ได้
_ถามว่าพ่อครูเคยบอกว่า พ่อครูเคยบอกกายคือรูป1 ในขันธ์5!ส่วนจิตคือนามขัน ธ์มีเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ!
ตอบ…อาตมาไม่เคยบอกเช่นนั้นนะ คำว่า กายคือองค์ประชุมของรูปกับนามแล้วนามขาดกายไม่ได้ นามใดที่ขาดกายคือขาดรูปที่ต้องร่วมรับรู้เป็นองค์ประชุมของรูป/นามอันนั้นไม่ใช่แบบพุทธ
_ เวทนารับรู้อะไรมาก็ส่งมาให้สัญญาเกิดความจำถ้าหยุดที่สัญญาไม่ส่งต่อมาให้สังขารตัวปรุงแต่งให้เกิดโลภโกรธหลงก็คงไม่เกิดถูกไหม
ตอบ...มันก็ถูกขั้นหนึ่ง เป็นขั้นสมถะ เวทนารับรู้สึกถือว่าเป็นนามตัวแรกก็ได้แต่ที่จริงมันสังขาร ปรุงเป็นผีหรือเทวดาหรือเฉยๆ เป็นเวทนาเลย มันปรุงแล้วเป็นสังขาร สังขารกับเวทนานี่จริงๆคือตัวเดียวกัน แต่เวทนาคือตัวที่ปรุงเสร็จ หากอวิชชาก็ปรุงด้วยอสังขารเต็มรูปเลยเป็นเวทนาเต็มรูปที่ถ้าออกมาเป็นอิฏฐารมย์ก็สุขหรือชอบ หรือถ้าเป็นอนิฏฐารมย์ก็ไม่ชอบหรือเป็นไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ
เวทนา สัญญา สังขาร ตัวสัญญาก็จะเป็นตัวไปเรียนรู้ เวทนาหรือสังขาร แล้วอย่างนี้เรียกว่าเวทนา อย่างนี้เรียกว่าสังขาร คนแยกไม่ได้กายสังขารจิตสังขาร วจีสังขาร แค่นี้ก็แยกไม่ออกแล้วไม่ต้องเรียนถึง เวทนา ๑๐๘ แล้ว ต้องแยกถึงเหตุคือกุศลจิต อกุศลจิตในมโนสังขาร แล้วเราก็ค่อยลดลง ในมโนสังขารท่านไม่เรียก แต่ท่านเรียกจิตสังขาร แต่เป็นสังขารขั้นมโนหรือมนะแล้ว นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พาเรียน ปฏิบัติ จนรู้ว่ามีสมุทัยเป็นเหตุผีร่วม จนกำจัดสัตว์อกุศลในจิตได้ จนปล่อยเป็นสังขารที่ดีออกมาข้างนอกแบบไร้สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานได้ กว่าคนจะรู้วจีสังขารไม่ง่ายต้องเข้าใจรู้ สังกัปปะ ๗
คนทั่วไปจะรู้แค่ วจีกรรม กายกรรม แต่ไม่รู้ถึงมโนกรรม
สิ่งที่เป็นอาริยะที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอันนี้เป็นอาริยทรัพย์ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือมิตรสหายที่เป็นกัลยาณมิตรที่เป็น ทิฏฐธัมมิกัตถประโยขน์ มี กัลยาณมิตตา คือมิตรที่ได้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เป็นคุณในสัมปรายิกกัตถประโยชน์ ในโลกใหม่โลกโลกุตระ คือศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เราจะคบกับกัลยาณมิตรก็ต้องเป็นมิตรที่มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
อาตมาพูดนี่คนไม่ค่อยสนใจ ผิดกับอีกพวกหนึ่งสำนักหนึ่งที่เขามีคนไปเยอะแยะ แต่เยิ้มไปด้วยโลกียะ เสริมเติมแต่ง คนก็ชอบเข้ากับรสนิยมคนโลกๆ ในสังคมหากไม่มีเขามอมเมาว่าช่องนี้ช่องเดียวสะกดจิตด้วย อาตมาก็เลยยิ่งยากที่จะบอกคนให้หันมาทางนี้ เขาสะกดจิต อาตมาเรียนมาก่อนก็รู้วิธีการ
ศรัทธาคือความเชื่อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงศรัทธาไว้ ๑๐ หลักใหญ่ๆ
๑.ศรัทธาต้องมีศีล หากไม่มีศีลบริบูรณ์ยังไม่ชื่อว่าศรัทธา ศีลคือหลักเกณฑ์สำหรับตน ปฏิบัติ ผู้ใดมีศีลแล้วปฏิบัติจนเกิดปัญญา เกิดวิมุติก็เป็นพหูสูตร แต่ถ้ามีศีลแต่ไม่เป็นพหูสูตรก็ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เมื่อเป็นพหูสูตร มีผลทางจิตที่บรรลผลก็จากศีล สมาธิ ปัญญา พหูสูตรเป็นคนที่ไม่ใช่แค่เรียนรู้มากท่องจำได้แต่ต้องเป็นผู้บรรลุธรรม แล้วก็ค่อยสอนคนอื่นเป็นธัมมกถึก เป็นผู้พร่ำสอนตนก่อนพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง แล้วก็ตอนแรกเทศน์ในหมู่เล็กๆ ต่อมาก็เข้าสู่หมู่กลุ่มอื่นๆขยับไป แล้วแกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัทอื่นให้บริบูรณ์ แล้วก็จะรู้หลักกฎวินัยที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้ออกไว้ เพื่อไม่ผิดพลาดเสียหาย ต้องดูว่าจิตตนเป็นจิตยินดีในความสงบจากกิเลส สิ่งแวดล้อมจะเป็นป่าเป็นเมืองก็มีจิตสงบได้ คืออยู่ป่าเป็นวัตร แล้วเราก็มั่นใจในคุณธรรมที่ได้ ศรัทธาในพุทธธรรม เมื่อได้ผลก็ทรงธรรมในตน เราเป็นสงฆ์ ที่ทำได้ตรงสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เราศรัทธา ๓ อย่างนี้ พระพุทธ พระธรรม เราทรงไว้เป็นสงฆ์เลย เราได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง ๔
เริ่มจากควบคุมสังวรเรียกว่าวิตกวิจาร เบื้องต้นแม้ต้องระมัดระวัง แต่ก็ทำให้จิตไม่มีกิเลสได้ จนดีขึ้นๆ ไม่ต้องดูแลควบคุมเป็นพ้นวิตกวิจารก็มีภาวะดีใจยินดีเป็นปีติ แล้วก็สงบลงเป็นสุข ทำได้แคล่วคล่อง จนเป็นฌาน ๔ อุเบกขาไม่มีผลักไม่มีดูด อย่างแท้จริง ก็สบายเบา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหาสถานที่เลย เช่นจิตเราตอนนี้ต้องวิตกวิจารกับอันนี้ ต่อหน้าธารกำนันที่แตกต่างเราต้องสังวรระวังเยอะ ได้แล้วก็มีปีติยินดี หรือจิตเราฟูก็ควบคุมอย่าให้มีอุปกิเลสซ้อนไม่มีเลยยิ่งดี ก็เรียนรู้ซ้อน ฝึกฝนให้ชำนาญตั้งมั่นเก่งในฌาน ๔ จนกว่าเราแข็งแรงก็อนุโลมใช้ฌาน ๔ หรือใช้ฌาน ๓ หรือฌาน ๒ ได้เลย จะปีติก็ได้หรือสุขก็พอ หรือจะใช้อุเบกขาเลยก็ได้ แคล่วคล่องสูงมีอำนาจในฌาน
แล้วก็ถึงที่สุดในศรัทธาสมบูรณ์แบบคือ บรรลุ วิมุติ วิมุติญาณทัสนะได้ นี่คือสุดยอด
ส่วนศีล ก็คือหลักเกณฑ์ปฏิบัติตามฐานะเอาแค่เล็กๆเป็นปริตตัง เร่ิมแต่อบายภูมิที่เราเคยติดหลงใหลเลอะเทอะ เสียเวลาแรงงานทุนรอน ไม่เข้าท่ามันโง่เราก็รู้ของเราว่าพอแล้ว จำกัดขอบเขตเรียกว่าปริตตังในประไตรฯฉบับหลวงเรียกว่ากามาวจร ปฏิบัติศีลให้เกิดฌาน เรียนรู้โพธิปักขิยธรรม มีจรณะ ๑๕ ก็คือทำ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ สั่งสมเป็นอินทรีย์ ๕ พละ ๕ มีพลังสัจธรรมเกิดขึ้น ศีลก็ทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ สมบูรณ์เป็นวิมุติญาณทัสนะ
เรียนรู้ ศีล และจาคะ คำว่าจาคะคือสละออกเอาออก แต่ของศาสนาอื่นไม่ชัดเจนเหมือนพุทธที่มีความลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล สละออกตั้งแต่อบายมุข แม้สัมผัสก็ตัดจิตไม่ดูดไม่ดึงไม่ปรุงแต่ง มีแต่รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง จนจาคะบริบูรณ์ เอาออกจากจิต ล้างกาม พยาบาทออกจากจิต ล้างอาการ ลิงค นิมิต อุเทส โดยปหาน ๕ จนเอาออกได้บริบูรณ์ในขณะปฏิบัติทั้งหมด ในศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ก็มีปัญญาตรวจสอบใช้สัญญากำหนดรู้มีสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น มีอานิสงส์การฟังธรรม ๕ ประการเกิด โดยการอ่านเห็นความจริงหมดเรียกว่าปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ในการปฏิบัติมรรคังคะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์จนหมดไม่ต้องชำระอีก ขยายอีกก็มีหิิริโอตตัปปะ จนเกิดผลเจริญเป็นพหูสูตร หรือพาหุสัจจะ สังสมด้วยวิริยะสติปัญญา เป็นสัมมาสมาธิไปเรื่อยๆ
การปฏิบัติศีลอย่างมีศรัทธา มีหลักของศีลแล้วสละจาคะออกได้มีผลจริง เจโตลดได้ ปัญญาก็เห็นจริง จนครบอุภโตภาควิมุติ ปัญญาก็รู้แจ้งเห็นจริงว่าตนได้ผลบริบูรณ์ เรียกการเปลี่ยนจิตแบบนี้ว่าโอปปาติกโยนิ ด้วยกรรม ๓ สมบูรณ์เสมอๆ
คุณมาฟังอาตมาก็มีการฟังธรรมที่บริบูรณ์ ได้ความศรัทธาที่บริบูรณ์ ได้การทำใจในใจให้ถ่องแท้โยนิโสมนสิการ ให้วิจัยถึงที่เกิดคือหทยรูป คือสัมภวะจับตัวกิเลสมีชีวิตของกิเลสแล้วกำจัดกิเลสให้หมดแรงลง ลดอินทรีย์ของสัตว์กิเลสที่เราจะกำจัด กำจัดมันลงไปๆ คุณทำโยนิโสมนสิกการได้วิธีปฏิบัติคือมีสติสัมปชัญญะ สำรวมอินทรีย์แล้วทำให้กรรม ๓บริบูรณ์ ตัวโยนิโสมนสิการ มีสติเป็นตัวต้นที่มีสติสัมผัสแล้วต้องรู้ สัมปชัญญะ สัมปชาโน สัมปัชชลติ ก็เกิดสภาวะของการเจริญเป็นสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ และเกิดวิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ไปเรื่อยๆ
หรือแม้แต่มูลสูตร ๑๐ ก็มีฉันทะเป็นมูล มีความยินดีนำ ที่เป็นแสงอรุณข้อที่ ๑ เลย หากไม่มีมิตดี ไม่มีศีล ไม่มีฉันทะ ไม่รู้จักอัตตา ก็ไม่ได้เรื่อง แล้วต้องไม่ประมาทในการโยนิโนมนสิการให้ได้เสอมจึงจะบรรลุธรรมได้
ในมูลสูตรมีฉันทะเป็นมูลแล้วทำใจในใจให้เป็นโดยรู้จักที่เกิด โดยการปฏิบัติมีผัสสะเป็นสมุทัยในการปฏิบัติ แล้วทำให้เป็นเอกสโมสรณา ประชุมลงเป็นหนึ่ง คือเวทนาเป็นที่ประชุมลง ในธรรมะสองแล้วมีเวทนาที่เราต้องทำให้เป็นเอกสโมสรณา โดยที่มีส่วนสองอยู่ เวทนาที่ดับไปก็ดับไป อีกเวทนาหนึ่งก็คือเวทนาที่สะอาด เป็นเวทนาที่ได้ชำระกิเลสออกไปแล้วขาดสะอาดแล้วตามขั้นตอน ทำในเวทนา ๑๐๘ ทำให้จิตเจริญเป็นสมาธิก็เป็นประมุขของจิต โดยการทำผลให้เกิด เป็นสมาธิสั่งสมเป็นสมาธิ สิ่งที่ประกอบสำคัญคือสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระคือเหนือโลก จนบริบูรณ์ขั้นใดก็เป็นสาระเป็นวิมุติหลุดพ้น ได้แก่นสารเป้าหมาย หลุดพ้นคือทำให้กิเลสดับ คือกิเลสไม่มีแล้วก็พ้นสภาพ พ้นได้แล้วจริงก็ถาวรเป็นอมตบุคคล ไม่มีตายไม่มีเกิดอีกแล้ว กิเลสนั่นเองไม่ตายไม่เกิด จนกว่าคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หากไม่ปรินิพพานก็เป็นอมตบุคคล โพธิสัตว์นี้รู้ดีที่จะอยู่ไปอีกนานเพื่อสั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณ
อรหันต์บางองค์เก่งถึงขนาดกำหนดวันตายได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านปลงอายุสังขาร เมื่อมารมาทวงท่านก็บอกว่าเราจะตายเมื่อใดที่ไหนท่านก็กำหนดได้ แม้บางอรหันต์กำหนดว่าจะตายในท่าไหนได้ด้วย อรหันต์บางองค์บอกว่าเดินไปจะตายในก้าวที่ ๗ เป็นต้น
อรหันต์จี้กง ก็คนอาจเข้าใจยาก กินเหล้าแต่ไม่เมา อาตมาเองชาตินี้กินเหล้ากินเบียร์เท่าไหร่ตอนเป็นฆราวาสก็ไม่เคยเมาเสียสติเลยสักครั้งแม้กินมากเท่าไหร่ อาตมาถึงรู้ว่าอรหันต์จี้กงไม่เคยเมา แล้วก็อาตมาเคยเข้าทรงแต่ไม่เคยหมดสติไม่รู้ตัวเลย อาตมาเข้าทรงไม่กล้าตัดลิ้นเพราะรู้ตัวเองอยู่
จุดหมายเราคือเรียนรู้แล้วลดจนหมดกิเลสตัณหา เราจะไม่งงไม่สับสนเลย จะรู้ว่า ใครพูดสลับไปสลับมาโดยไม่เสียหาย มีเจตนาสลับด้วยซ้ำก็ไม่งง แต่คนติดบัญญัติก็จะงง
พวกเราอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
มิตรคือจิต สหายคือประโยชน์ สัมปวังโกคือองค์รวมทั้งหมด อย่างพวกเรามีองค์รวมพร้อมสัปปายะ ๔
สหายคือผู้ร่วมประโยชน์ จงเห็นความสำคัญของทั้งสามอย่าง พยายามเข้าใจให้ได้ว่าเราโชคดีแล้วที่เรามีทุกอย่างตามพระพุทธเจ้าสอนมีหลักฐานยืนยัน
ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาคือเนื้อแท้เนื้อธรรมเป็นเทวธรรมที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นเราได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจ ศรัทธาในส่ิงนี้จริง โดยมีปัญญาประกอบไม่งมงายไม่ถูกครอบงำความคิดหรือสะกดจิตหรือเห่อตามเข้า ไม่ใช่ แต่ศรัทธาอย่างอิสรเสรี มีสิ่งควรศรัทธาอย่างยิ่งไม่มีใครบังคับ ไม่ล่อหลอกไม่หว่านล้อมไม่ง้องอน
เรามาเจอหมู่ดีแล้ว เราเองยังมีความอยากที่จะสุขด้วยกามด้วยอัตตาไม่พอหรือ ยังอยากอีกหรือ ถ้าชัดเจนว่าเราน่าจะพอได้แล้ว ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ หรือกาม หรืออัตตาก็มีแต่ภาระไม่เป็นสิ่งที่จะหอบไปได้แต่อย่างใดอะไรก็หอบไปไม่ได้ กามกับอัตตา ยิ่งมีชอบใจยินดีฝังในอนุสัยโง่ต่ออีก ก็ต้องมาถอดปล่อยวางเลิกเถอะ คนที่จะมีญาณปัญญาเข้าใจอย่างที่อาตมาว่าไม่ง่าย ยิ่งยุคนี่แล้วก็ยากที่จะไปปลุกให้เขาตื่นรู้ได้ง่ายๆ
คิดดูสิ ๔๕ ปีอาตมามีมวลผู้ที่จะมาพอได้แค่นี้นะ ในอนาคตอาตมามั่นใจว่ามันไม่ทรุดไม่เซไปกว่านี้หรอก เพราะโลกกับสังคมมันยิ่งแย่ไปทุกทีทั้งโลกเลย แล้วเราก็มีของจริงแล้ว ทางโลกเขาทุกข์ทรมานเดือดร้อนทุกที
คนจะต้อง หันมาเอา กับระบบ บุญนิยม เพราะ..
๑. คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น
๒. ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ
๓. ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว
๔. มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในทิศทางนี้.. ให้ดูเป็นการยืนยัน ได้แล้วจริงๆ
๕. ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด
อนาคตสังคมเราจะเป็นหลักให้แก่สังคมอื่น ยุคนี้เป็นยุคปัญญา คนทุกข์มาก คนแสวงหาก็จะมาก คนที่จะมาเอาสิ่งเหล่านี้เขาจะต้องมาเอาหรือแม้ไม่มาเอาคนของเราจะอยู่ คนได้แล้วจะเสถียรยั่งยืน พวกเราจะเป็นหลักเรื่อยไป แม้แต่เด็กเราก็มี๒๐กว่ารุ่นแล้ว เด็กรุ่นแรกๆอายุถึง ๔๐ ก็มีแล้ว ทางตะวันตกว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ ๔๐ พวกนี้ได้รับการติดชิปไปแล้ว เขารู้โดยองค์รวมว่าอโศกคืออะไร แล้วยิ่งจะต่อไป เขาจะเกิดปฏิภาณรู้ว่าที่นี่เขาอยู่มา ๖ ปีกับข้างนอกคืออะไร ทำไมที่นี่ยังอยู่ จนกว่าพวกเราแก่เฒ่าตาย พวกเขาก็จะรู้ ผู้แสวงหาจะเพิ่มขึ้นก็จะมา คือสิ่งที่อาตมาเห็นว่าพพจ.ตรัสรู้สิ่งประเสริฐเรื่องมนุษย์กับสังคม ที่เขาเรียกว่า ศิวิไลเซชั่น ความเจริญที่เขาต้องการ แต่ของโลกุตระเป็นเรื่องเหนือโลกทวนกระแส เขาจะเข้าใจเศรษฐกิจบุญนิยมนี้ยาก ก็อยู่พิสูจน์กันสำหรับผู้มั่นใจ อาตมาไม่บังคับ…จบ