
580910_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ ๑๙ (คลิกชื่อเพื่อดาวโหลดเอกสาร) , คลิกที่นี่เพื่อดาวโหลดเสียง
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ ๑๐ ก.ย. ๒๕๕๘ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะแม
วันนี้ก็มีเด็กๆนร.ที่เหลืออยู่บางส่วนยังไม่ปิดเทอมมาฟังธรรมกัน วันนี้ก็จะบรรยายไป อธิบายให้ช้าหน่อย ไปสู่ภาษาที่ควรได้ฟังกันบ้าง โดยภาษาที่จะให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าตัวโตก็ใช้ภาษายากหน่อย
มี sms มา
0857308xxx ไม่ได้ใส่ความค่ะ เขานั่งหลับตามาตลอดเคยเล่าว่าพบสุขเพลินที่เห็นทิพย์ต่างๆ
ตอบ…
การนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในภวังค์ เหมือนคนนอนหลับ เข้าไปอยู่ข้างใน แต่นั่งนี่แหละ แต่ปฏิบัติให้ทำความรู้สึกสู่ภายใน ภายนอกไม่รู้สึกรับรู้อะไร ตาไม่ได้เห็น หูไม่ได้ยิน กลิ่นไม่ได้รับ ลิ้นไม่รับรส สัมผัสแตะต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งไม่รู้สึก เขาก็เรียกว่า เข้าสมาธิ เข้าฌาน เขาก็เพลินสุขกับอาการเช่นนั้น แล้วเขาก็จะไม่มีอาการกิเลสนิวรณ์ ไม่มีอาการกามราคะ ไม่มีพยาบาท ไม่มีง่วงซึม ถีนมิทธะ ตื่นอยู่ภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน เห็นจิตเราว่างๆ อุเบกขา ใหม่ๆอาจยาก ต้องคุมแจ รู้อ่านอาการออกเห็นจิตตนไม่มีอาการนั้นๆอย่างไม่สงสัย ว่าสภาวะเป็นเช่นนี้ หลวงปู่ก็ทำมาเยอะ สารพัด ก็มีความสุขเขาเรียกว่า สุขวิหารธรรม สบาย นอกจากนั้นแล้วเขาก็ว่าเขาเห็นทิพย์ เขาก็ว่าต้องใช้จิตเป็นสมาธิโน้มไป ที่จริงก็คือคิดเอา แต่เรียกโก้ๆ ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวว่าตนเองมุ่งไป เป็นมโนสัญเจตนา เห็นสวรรค์เห็นนรกอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่สารพัดก็เป็น เสร็จแล้วมันก็ไปเห็นสภาพนั้น สภาพอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า มโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เนรมิตสร้างปั้นเอา จนมีรูปร่างเลย เทวดาก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็น่าเกลียดก็เห็น ความจริงแล้วรูปเหล่านี้ไม่มี ในวิญญาณต่างๆก็ไม่มี เพราะว่าวิญญาณเป็นอาการ ลิงค นิมิต
นิมิตก็ไม่ได้เป็นรูปร่างอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก เขาหลอกกันทั่วโลก ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้รู้ว่า มโนนั้นอสรีสัง ไม่มีรูปร่างสีสัน ศาสนาอื่นเขามีสิ ยิ่งจีนก็มีเง็กเซียนฮ่องเต้ มีกองทัพสวรรค์เป็นเรื่องราวเลยเยอะ จนสร้างเป็นหนัง ความจริงแล้วไม่มีรูปร่าง แต่มีอาการของสัตว์สวรรค์ สัตว์นรกจริงไหมก็มีจริง เหมือนเรานอนหลับฝันร้ายก็คือไปนรก มีเรื่องราวมากมาย แต่ตายไปแล้วมันจริงกว่าฝัน มันจะเป็นภาพเป็นเรื่องราวจริงกว่าตอนนอนหลับ ตอนนอนหลับไม่เป็นสภาพจิตวิญญาณเป็น แต่ถ้าตายไปแล้วจะมีสภาพจริงกว่า จะทุกข์ทรมานกว่า เวลาเราเป็นตกนรกเท่านี้ตอนตายไปนรกมากกว่าหลายเท่า ส่วนสวรรค์ก็สุขมากเช่นกัน แต่ว่าสวรรค์มันจะมีน้อยหรือไม่นานเท่าทุกข์ มันเป็นสวรรค์แค่ชั่ววูบ ที่จริงสวรรค์คือทุกข์ที่แปลงตัวหลอกสมใจเป็นสวรรค์ เป็นของเท็จ แต่ทุกข์คืออาริยสัจ ฝังในอนุสัย อาสวะ เป็นอุปาทานติดไป มันจริงกว่า เรียกว่าอาริยสัจ ส่วนสุขเป็นของเท็จ เป็นอัลลิกะ
เมื่อไปเห็นทิพย์หลอกๆก็ไปใหญ่ ของหลอกมันมีเยอะมาก ผู้ใดเข้าใจแล้วก็ค่อยๆล้าง ทั้งๆที่พวกเรารู้กันแล้วนะ
0857308xxx ทำใจในใจได้ในอาการทุกข์กับสุขแต่อาการเฉยๆยังไม่ค่อยได้ค่ะ
ตอบ…เก่งแล้วนี่ แต่อาการเฉยๆยังไม่่ค่อยได้ ก็คงหมายถึงว่า ทำใจจากสุขทุกข์ให้ออกจาก สุขทุกข์เปลี่ยนเป็นอื่นนี่ทำได้แต่ว่าจะให้อาการเฉยๆนี่ไม่ต้องคิดนึกอะไรก็ทำได้ยากใช่ไหม ยิ่งจะให้เฉยเช่นนั้นทำได้ยากนะ ถ้าใครไม่คิดอะไรเป็นชั่วโมงนี่เขาถือว่าแน่ ดีมากก็ยาก ก็ฝึกไปนี่แหละที่อ่านใจเป็นรู้จักอาการสุข รู้อาการทุกข์ ก็ค่อยๆทำไป
0857308xxx กราบขอบพระคุณพ่อครูท่านต้องเหนื่อยอธิบายซ้ำๆ ตอบ…เต็มใจอธิบายซ้ำอย่าเหนื่อยก็แล้วกันนะ
0857308xxx วันนี้สะดุ้งสะเทือนมาก จะเพียรให้มากอยากเป็นอรหันต์ค่ะ
0893867xxx พ่อครูใส่ฟันปลอมมีเอาไว้ฉันท์เคี้ยวมังสะได้ถึง150ปี ยังดีกว่าผู้น้อยบ่มีฟันปลอมจะเคี้ยว!ถ้าอยู่ถึง80จะเอ าฟันที่ไหนกินมังสะฮือๆกลุ้มใจ
ตอบ…ควรบอกว่ามังสะฯ ถ้ามังสะแปลว่าเนื้อสัตว์สิ พ่อครูงดกินเนื้อสัตว์นานแล้ว
0893867xxx คอรัปชั่นกินหมื่นแสนล้านพ่อครูเรียกมหาอบายมุขไม่พอหนิ!ต้องเรียกอภิมหาโคตรอบายมุข!โกงกินจนหนี้สาธารณะท่วมปท.ยังมิสำนึกซ้ำด่ายธ.หาว่าอยธ.!อภิมหาเวรจริ๊งเอวัง
0893867xxx ภาพที่เห็นเป็นตัวตนในความคิด!ผู้น้อยก็เคยเห็นมิใช่แค่ นั่งสมาธิ!ตอนเดินลืมตาก็ เห็น!พ่อครูเคยบอกว่าเป็น มโนมยอัตตา!
ตอบ…ถ้าอธิบายอย่างธรรมะเลย คุณเห็นสภาพสีแดง แดงนี่แหละเป็นของจริงเป็นภาพที่พบเป็นของจริงตามความเป็นจริง แต่อีกภาพที่เกิดในมโสมยอัตตา เป็นอรูป เช่นสวย นั่นคือมโนมยอัตตาที่เป็นอรูป เวลาเราแตะรสหวานทุกคนรู้เช่นกันแต่เกิดสภาพที่เป็นอร่อยนั่นแหละมโนมยอัตตา ใครที่หลงมีก็จะมีจริง เข้าใจให้ดีๆ เป็นของหลอกมานาน แล้วหลอกมานานติดยึดมากล้างออกไม่ง่ายนะ แล้วใครเคยล้างออกบ้างบางอย่างล้างออกได้หมดแล้ว เฉยแล้ว…ยกมือสิ คือผลสำเร็จของพระพุทธเจ้า
0893867xxx ถ้าปฏิบัติถึงขั้นรูปฌานอรูปฌานจนถึงขั้นปั้นตัวตนเห็นเป็นเทพเห็นแดนสวรรค์ที่สำเร็จในใจแล้วคิดว่าเป็นนิมิต!อยากรู้ว่านิมิตจริงฤา นิมิตปลอม?จึงจะเรียกว่า มโนมยอัตตา?
มีได้ทั้งจริงมีได้ทั้งปลอม ผู้รู้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิจะรู้ว่าจริงก็จริง ปลอมก็ปลอม ใช้นิมิตเป็นอาศัยเท่านั้น เช่นพระโมคคัลลานะ จะมีติดสิ่งนี้ไว้อาศัยแต่ท่านก็จะเข้าใจไม่ได้ติด ท่านเข้าใจว่าภาพที่เกิดหมายถึงธรรมะอะไรก็ใช้อาศัยได้ในผู้สัมมาทิฏฐิ คนที่ไม่ถึงขีดแบ่งจริงแบ่งปลอมได้ก็ยากที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือปลอม จนกว่าคุณจะมีฐานจิตสูงอย่างอนาคามีก็พอเข้าใจได้บ้าง อนาคามีขึ้นไปจริงๆก็จะค่อยๆแยกได้ว่าอันไหนภาพจริงอันไหนภาพปลอม ก็ค่อยๆศึกษาไป
0837277xxx คำว่าสมาธิแปลให้ถูกน่าจะแปลว่าการทำจิตให้สงบจากกิเลสให้ยิ่งๆขึ้นไปจนจิตมีสภาพตั้งมั่นไม่หวั่นไหว/
ตอบ…ถูกต้องแล้ว
0812636xxx การบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์จะเลื่อนจากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่งต้องใช้วลานานแค่ไหนครับ
ตอบ…อันนี้ตอบยาก แล้วแต่อินทรีย์พละบารมีของแต่ละคน นอกจากประเมินกันง่ายๆ แต่ไม่มีภาษาตายตัว เช่นโสดาบันอีกเจ็ดชาติจะได้เป็นพระอรหันต์ซึ่งยากมาก คนเข้าใจตื้นๆก็เลยไม่อยากเป็นโสดาบัน อย่างสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เข้าใจว่าต้องเกิดในท้องพ่อท้องแม่อีก ๗ ครั้ง ครั้งที่ ๗ ถึงบรรลุอรหันต์หรอก แต่ว่าเป็นรอบของจิตวิญญาณต่างหาก
การบำเพ็ญของโพธิสัตว์ที่เลื่อนจากระดับหนึ่งเป็นอีกระดับหนึ่งนั้น จาก ๑.โสดาบันโพธิสัตว์ ๒.สกิทาคามีโพธิสัตว์ ๓.อนาคามีโพธิสัตว์ ๔.อรหันตโพธิสัตว์ ๕.อนุโพธิสัตว์ ๖. อนิยตโพธิสัตว์ ๗.นิยตโพธิสัตว์ ๘ .มหาโพธิสัตว์ ๙.สัมมาสัมโพธิญาณ
0893592xxx ขอนมัสการพระครูที่รักเคารพช่วยอธิบายคำว่าธรรมชาติ
ตอบ…ธรรมชาตินี่มีคำสองคำ คือธรรมะ กับชาติ ซึ่งชาติแปลว่าการเกิด ธรรมะแปลว่าการทรงอยู่ การเกิดเป็นคนมีดินน้ำไฟลมแท่งก้อนนี้ ก็เรียกว่าทรงอยู่เป็นธรรมชาติหากไม่ทรงอยู่สลายไปก็หมดไปตามธรรมชาติ อย่างเช่นว่าเราอร่อยเราก็ทรงอยู่ก็เป็นธรรมชาติ หากไม่อร่อยพักยกไปก็คือมันไม่ทรงอยู่ในจิตเราก็เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา คำว่าชาติของศาสนาพุทธ เรียนรู้แยกเป็น ๕ คำ คือชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
คำว่าชาติ หรือชา–ติ แปลว่าการเกิด ถ้าเอาชาติตัวนี้ออก ชาติตัวนี้เป็นคำกลางๆ ประเทศชาติก็ใช่ ชาติคืออะไรที่เกิดแล้วก็เสื่อมสลายก็ได้ แต่ถ้าหมายถึงชาติของศาสนาคือชาติของอกุศลจิตคือกิเลสหรือบาปที่หมดไปได้ คนไม่ได้เรียนรู้ธรรมะถึงขั้นจัดการได้ก็จะมีการเกิดเป็นชาติสัญชาติ อยู่ในความจำ ในความกำหนดหมาย แล้วออกมาทำงาน บางที่ออกมาทำงานโดยไม่รู้ตัวเรียกว่า สัญชาติญาณ อีกอย่างโอกกันติคือการเกิดทุกขณะ การเกิด ทางกาย วาจา มาจากใจ และมาจากกิเลสเป็นตัวสำคัญ มันอยากได้หากได้สมใจกิเลสก็หนาขึ้น เรียกปุถุชน กิเลสหนาขึ้นทุกที กิเลสไม่ได้ดั่งใจก็ไม่ปล่อย ไม่วางง่ายๆหรอก อยากเป็นเศรษฐีร้อยล้านชาตินี้ไม่ได้ก็พยาบาทไปชาติหน้าอีก อยากได้อำนาจยศศักดิ์ทั้งนั้น ชาตินี้ไม่ได้ก็จะเอาชาติหน้า ฝากไว้ก่อนเถอะ
คนจึงเรียกว่าปุถุชน มันไม่ได้ก็ฝากไว้ก่อน พยาบาทไว้ น้อยนักที่จะปล่อยวางได้ กิเลสจึงหนาตลอดเวลาไม่จบ ต้องมาเรียนรู้ตัวนี้คือโอกกันตะ แล้วกำจัดกิเลสให้ลดลง จิตก็เกิดเป็นโอกกันตะ เป็นชาติที่เดิมเป็นชาติโลกีย์ ก็ลดลงๆ ทำลดได้ท่านเรียกว่าเกิดนิพพัตติ หยั่งลมสั่งสมลงสูงสุดเป็นอภินิพพัตติ สูงสุดของโสดาบันก็ตัดอบายได้ สกิทาฯก็ลดได้ อนาคามีก็กามหมด มีแต่อัตตา เกิดเป็นคนใหม่โลกใหม่ จนเป็นอรหันต์หมดเลยไม่เป็นอีกแล้วชีวิตแบบโลกีย์มีแต่ไปนิพพาน จิตก็รู้เห็นเหมือนโลกแต่ว่าไม่ได้ติดยึดอย่างเขา สรุปว่าธรรมชาติคือส่ิงทรงอยู่ อรหันต์ก็มีสิ่งทรงอยู่ แต่ชาติที่เป็นโลกีย์หมดไปถาวร เป็นอรหันต์ตลอด
รู้เท่าทันธรรมชาติ รู้เหตุแห่งธรรมชาติ รู้จักการดับเหตุแห่งธรรมชาติ และก็หมดความเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะเพียวๆไม่ใช่ธรรมชาติ จะบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติก็คือคำพูด แต่ผู้เข้าถึงจริงจะดับธรรมชาติได้หมดถาวร อย่างธรรมชาติมี xy จะบอกว่า x เท่ากับ y ได้อย่างไร จะบอกว่าธรรมะ เท่ากับธรรมชาติได้อย่างไร คุณเล่นแค่ภาษา แต่ว่ามันสภาวะต่างกัน ทั้งพยัญชนะและสภาวะก็ต่างกันแล้ว
มาต่อที่ยอดนิยายของโลกฯกัน
มาอ่านจิตวิญญาณที่กระทบสัมผัสปสาทรูป และโคจรรูป เกิดสัตว์ทางจิตวิญญาณให้เห็นได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเน้นที่ทิฏฐธรรมนิพพาน เห็นสภาวะของสัตว์ที่ทรงอยู่ในปัจจุบัน เป็นสัตว์นรกที่เราต้องกำจัด ต้องเห็นหลัดๆ ปัจจุบัน อ่านอาการจิตให้ออก คำว่า อาการ เป็นคำที่ลึกที่สุด แล้วคนก็อาศัยอาการ อาการ ๓๒ เป็นสรีระภายในกับภายนอก จนมันเป็นอาการที่ไม่เป็นกายก็มี เช่นเล็บ
เล็บมันยาวออกมาแล้ว มันมีอาการของรูปนะ แต่มันไม่เป็นอาการของนามเราร่วมด้วย มันออกพ้นจากความรู้สึกแล้ว ถ้ามันไม่หลุดก็ออกมายาวต่อเนื่องไป แต่มันปรุงแต่งนะเล็บยาวได้ ไม่เน่าไม่เสีย จนกว่าจะหมดขีดของมันแล้วก็เสื่อม แต่มันไม่เป็นกายแล้ว มันยาวออกมาไม่มีความรู้สึกร่วม มันมีอาการซ้อนเป็นพีชะ แต่ไม่ใช่เหลือแต่ดินน้ำไฟลม หรือผม ขน ผิวหนัง ก็นัยคล้ายกัน
พระพุทธเจ้าท่านกำหนดให้อาการของท่านเป็นอย่างไรก็ได้ บางคนได้แต่กดข่มระงับได้ แต่จะให้เปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ยังไม่เก่ง เรื่องอาการเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญมาก คำว่าอาการจึงยากจะเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านใช้อาการ อาการที่ ๓๒ ก็มีอยู่ แต่ว่าอาการที่เกิดเป็นนามธรรมในใจคืออาการที่ ๓๓ เป็นตาวติงส์ ทำงานร่วมกัน คนอวิชชาก็ต้องการอาการจิตวิญญาณที่ ๓๓ เป็นดาวดึงส์ ต้องล่ามาให้ได้สมใจ ทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่าจาตุมหาราชิกา คือเป็นเทวดานักล่า เป็นนักรบมีหอกมีง้าว การแย่งชิงของโบราณ ปั้นเป็นรูปยักษ์ดุแย่ง นักเลงใหญ่
คนใดรู้จิตว่ามันอยากแย่งใครแล้วหยุดมันได้ไม่ให้แย่งได้นี่คืออาริยะ จะหยุดได้ชั่วคราวก็แล้วแต่ ก็ทำจนหยุดได้ถาวร ได้สนิทไม่เกิดอีก หมดอาการในจิต หมดสัตว์จาตุมหาราชิกาตัวที่อยากได้ให้แก่ตน เกิดเป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดาชนิดใหม่ มีแต่ให้ๆๆ ไม่แย่งใครเลย
พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้อาการของจิตที่ไม่ใช่แค่คิดเอาเฉยๆ ไม่ได้เกิดกรรมกิริยาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เลย แต่เกิดจริงต้องเกิดอาการเมื่อ ตากระทบรูปแล้วอยาก หูกระทบเสียงแล้วอยาก หรือเกิดอาการทางใจขึ้นมา ในแต่ละทวาร นั่นแหละจับอาการ มันอยากเอามาเสพให้ได้เป็นของกู ตัวกู ถ้าได้มาเสพสัมผัสรสก็เป็นราคะ ได้มาเป็นของตนก็เป็นโลภะ
คำว่าทิฏฐะคือได้เห็น สุตะคือได้ยิน มุตะคือได้รับทางภายนอกภายใน นี่คือความจริง หากไม่ครบก็ไม่เป็นความจริง พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ความจริง จนไม่มีอาการ
ฃของสัตว์เกิดอีกเลย ก็จบ จบได้หมด แต่ถ้าไม่เรียนเช่นนี้ไม่มีทางจบความจริง อาตมามาอ่านพระไตรปิฎกเล่ม ๙ ทิฏฐิ ๖๒ จึงชัดเจน หากไม่เป็นปัจจุบัน เป็นอดีตกับอนาคตไม่ใช่ความจริง
คนที่จะศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงต้องตั้งใจศึกษา ถ้าตั้งใจศึกษาจะได้เป็นคนประเสริฐเป็นอาริยะ เป็นประโยชน์ต่อตนต่อโลกอย่างแท้จริง นี่คือพระผู้สร้างที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอาตมาก็มาทำงานสืบทอดศาสนา ต้องให้เป็นจริงให้ได้ให้ตรง ผิดพลาดมันก็ไม่ดี จึงต้องมีความรู้ชนิดถึงขั้นเห็นหลัดๆจึงเรียกว่าปัจจุบัน เห็นหลัดๆสัมผัสอยู่โทนโท่โต้งๆ จึงจะชื่อว่าเป็นความจริงเป็นสัจจะ
พระพุทธเจ้าแยกเป็น สมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะรู้ร่วมกันได้ง่ายแต่ปรมัตถสัจจะต้องมาเรียนรู้เอา แต่เมื่อทำได้จะคุยกันรู้เรื่อง แม้เอานามธรรมออกมาพูด แต่สิ่งที่ยืนยันรู้ร่วมกันก็เป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิ ต้องเอาหลักฐานยืนยันให้รู้กันได้ อย่างเราลดกิเลส ในการกระทบสัมผัสทวารทั้ง ๖ ได้ก็ยืนยันกับทุกคนได้ คนอื่นได้รับรู้ก็จะเข้าใจได้ตาม พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าถ้าจะยืนยันเป็นอรหันต์ต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย เห็นความสำคัญไหม
(๙๘) รู้ “กาย”แต่ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ “ฌาน”ก็ไม่มี
หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ฌาน”ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร ๕”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น”(ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม ตั้งแต่สังโยชนข้อ์ที่ ๑ คือ ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”แม้ปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่สามารถ “เห็นนิพพานในปัจจุบันนั้น”(ทิฏฐธรรมนิพพาน)แน่ๆเลย
เพราะปัจจุบันนั้นไม่มีการสัมผัสสัมพันธ์ อยู่ พร้อมทั้ง ๕ ทวาร ลืมตามีทั้ง “ทิฏฐะ–สุตะ–มุตะ”ได้อยู่ จึงไม่รู้แจ้งใน “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน”อยู่หลัดๆในบัดนั้น นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”ของภาวะ “กามคุณ ๕”ยืนยันอยู่โทนโท่ เต็มสภาพ
เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ ๑ ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย–เวทนา–จิต–ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ จึงยังไม่บริบูรณ์ ในการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ
เพราะเป็นผู้ไม่มี “สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องครบความเป็น “กายสักขี”(คือมี “กาย”ยืนยันโต้งๆเป็นพยาน)
“วิโมกข์ ๘”นั้นต้อง “เห็นทั้งรูป–เห็นทั้งนาม” และต้อง “เห็นทั้งภายนอก “กามภพ”–เห็นทั้งภายใน ลึกเข้าไปทั้งรูปและอรูป ในขณะที่มีความเป็น “กาย”คือ “ธรรม ๒” ตั้งแต่หยาบ–กลาง–ละเอียดเป็นที่สุด ตั้งแต่ “กาม” ถึง “รูป” และ “อรูป”ตลอดจบถึงขั้น “สัญญา เวทยิต นิโรธ”ทีเเดียว จึงจะครบบริบูรณ์การ “สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย”
ตลอดครบ “วิโมกข์ ๘” ต้องมี “กาย”อยู่พร้อมจนกระทั่งถึง “นิโรธ”ขั้นสุดท้ายปลายจบกันโน่นทีเดียว
ดังนั้นใครหรือนักปฏิบัติธรรมใด แม้จะมี “ตานอก”แล้ว ปฏิบัติในขณะลืมตาแล้ว รู้ความเป็น “กาย”แล้ว แต่ยังไม่รู้จัก “อาการ”ของความเป็น “กาม”ก็ดี ความเป็น “ฌาน”ก็ดี ที่เกิดจากภาวะ “ทิฏฐะ(ได้เห็น)-สุตะ(ได้ยิน)-มุตะ(ได้กลิ่น,ได้ลิ้มรส,ได้สัมผัสเสียดสีภายนอก–ภายใน)” ก็ยังมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “กาม”เรื่อง “ฌาน”
นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”อยู่แท้ๆที่มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ” สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมอันเกิดอยู่ใน “จิต”ขณะนั้น
เพราะเมื่อไม่รู้ “กาม”ไม่รู้ “ฌาน” มันก็ทำ “กาม”ให้หมดไป แล้วจะเกิด “ฌาน”ขึ้นใน “จิต” มันก็ไม่เกิด–ไม่เป็น–ไม่ได้ …ใช่มั้ย?
ซึ่ง “อารมณ์”ที่มี “กาม”เป็นตัวการปรุงแต่ง “จิต”อยู่เป็น “กามสดๆ”ขณะปัจจุบันนี้ มันสดๆนะ ไม่ใช่ “อารมณ์กาม”ที่เกิดเฉพาะขณะมีแต่การรับรู้ตอนอยู่ในภวังค์ และรู้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น เป็นการ “รู้”ในขณะที่ไม่มีสัมผัสภายนอกจริงเลยนั้นนะ นั่นมันแห้งๆ
ขณะนี้มันมี “มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ”สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมโทนโท่สดๆ แต่ตนเองยังอ่าน “อาการ”ที่เป็น “กามคุณ ๕”ใน “ปัจจุบัน”ขณะที่มี “สัมผัส” ขณะลืมตานี้ยังไม่เป็นก็ดี หรือเผลอสติกำหนดไม่ทันก็ตาม ก็คือ ยังไม่ “เห็น”ความเป็น “กามสดๆ”นั้น ก็กำจัดมันไม่ได้ หรือไม่ได้กำจัดมัน ใช่ไหมล่ะ
เมื่อ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ ไม่มีผลบ้างเลย “ฌาน”ก็มีไม่ได้
ต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย
๑. ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
๒. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
๓. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
๔. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน) เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง อัตถังคมา นานัตตสัญญานัง อมนสิการา อนันโต อากาโสติ อากาสานัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
การปฏิบัติฌานนั้น ฌาน ๑ ก็มีปีติ อาการของปีติ เหมือนช่างสรงสนาน เอาจุนสี ใส่น้ำ ให้ทั่ว เราก็ลงแช่ในน้ำให้จุนสีมันซึมซาบทั่วตัว ไม่มีบริเวณไหนๆที่ไม่มีจุนสีซึมซาบถึง ก็เหมือนปีติที่เป็นผรณาปีติ ไม่ใช่ให้ไปเป็นแบบมากๆเหมือนอุพเพงคาปีติ แต่ก็ไม่ใช่่ว่าไม่มีปีติเลย มันไม่ใช่อาการเจริญทางโลกุตระ ไม่ใช่อาการของปัญญาที่ต้องรู้ว่าเรามีปีติที่ได้ลดละมาได้ ไม่ได้ว่าทิ้งไปหมด แต่ให้มันแผ่ไปทั่วทุกขุมขน ไม่มีเอกเทศไหนๆที่จุนสีไปไม่ถึง
จนลดปีติได้ ลดสุขได้ ก็เป็นอุเบกขา มีปริสุทธา คือสัมผัสกับสิ่งในโลกสามัญ เป็นกามคุณเป็นโลกธรรมได้ เราก็อ่านจิตออกว่าเราลดกิเลสไป เราก็ดูอาการของเราว่ามันยังว่างหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นโลกียะเป็นอากาศว่างเขาจะปั้น ปั้นจนมีอาการเหมือนออกจากอากาศโลกนี้ไปสู่โลกของอรูป ปึ๊งออกไป เหมือนหลุดจากโลกไป ต้องเหนือกว่าความดึงดูดของโลกนี้อาตมาก็เคยทำได้ เคยเข้าใจผิด อย่างอ.มหาบัวก็เคยว่าปึ๊ง มันโล่งว่างใส ตามสมมุติที่เคยได้ยินมา ก็ปั้นมโนมยอัตตา เป็นอนันโต อากาโสติ เหมือนท้องฟ้าที่ไกลสุดสายตา มันเป็นภพที่สร้างเองกว้างไกลกว่าท้องฟ้าอีก
แต่พอรู้สึกว่าเป็นเราก็คือวิญญาณเข้าแล้วก็คือฌานที่ ๒ ของอรูป ในขณะที่ไม่รู้ตัวก็มีแต่เสพรส คืออากาสา ฯ แต่พอรู้ตัวเองก็เป็นวิญญานัญจายตนะ คืออาภัสราพรหม แต่ว่าเขาว่านิโรธคือดับดำมืดก็ดับเข้าไปอีก อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ไม่เอาสว่าง ก็ต้องดับอีก เป็นสุภกิณหา ดับมืด ดำปี๋ ซึ่งอากิญจัญก็คือดับ อสัญญี แต่ดับอย่างไรก็เป็นยามา มันจะฟื้นขึ้นมาให้เห็น จบที่อสัญญีสัตว์…จบ