งานรำลึกถึงคุณพ่อห่วง ศรีสุขวัฒน์
591120_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รู้เท่าทันผู้มีพรนรก(bad talent)
อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=13kJuqN3LM7XmnNWQmurG7FztMwFtFi9zFS8cTrd4_uE
ดาวโหลดเสียงที่…https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdVB6Q2RTdkFyeVE
ต่อมา เรากำลังจะพูดถึงนายไชยบูลย์(อดีตธัมมชโย) เจ้าสำนักจานบิน“ธรรมกรวย”(อันว่า“กรวย”คำนี้ หมายถึง รูปทรงที่เป็น“กรวย” ที่มันมีปากบานออกไปไม่มีวันจะสิ้นสุดการยาวยื่นบานออกไป เพราะมันตรงกับ“ความรู้และความจริง”ของสำนักนี้นั่นเอง) เราอาศัยรูปลักษณ์ของ“กรวย” และเป็น“กรวย”ที่มีปากยื่นปากยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นที่สุด แบบ“นันสต็อป”(nonstop) ทิ้งคำว่า“กาลเวลา”กันไปเลยทีเดียว “รูปและนามในความเป็นกรวย”ทั้งหมดนั้นแหละคือ
“ความจริงกับความรู้”ประดามีของ“สมีไชยบูลย์” ซึ่งในการศึกษาเราก็ขออาศัยตัวอย่างนี้มาใช้ยืนยันเท่านั้น ว่า ในโลกนี้มีคนทำฉะนี้จริง
ซึ่งเป็นตัวอย่างที่นานๆในโลกจะมีคนกล้าหน้าด้านทานทนดึงดันทำผิดทำชั่วกันทั้งคดีโลกและทั้งคดีธรรมหนักหนาสาหัสได้ปานฉะนี้ แต่เขาโง่งมงายไม่รู้สึกเลยจริงๆ
ต้องขออภัยต่อผู้อ่านทั้งหลายอย่างมากด้วย ที่อาตมาใช้ภาษาใน“การตำหนิ”(นิคคหะ)ผู้ทำลายศาสนา ซึ่งเอ่ยเป็นภาษา“ตำหนิ” เป็น“การข่ม” เป็น“การกล่าวโทษ”
จริงๆ ผู้อ่านก็ได้อ่านชัดๆว่า เป็นภาษาที่บอกถึงความไม่ดีไม่งาม เสื่อมทรามต่างๆมากมายของนายไชยบูลย์หรือของสำนักธรรมกาย ซึ่งพูดชัดๆตรงตามความเป็นจริงที่เป็นที่มีของเขา
ผู้อ่านบางคนก็อาจจะว่าอาตมา“ด่า” นายไชยบูลย์ หรือด่าสมีธัมมชโย
ที่จริงอาตมา“ตำหนิ”(นิคฺคหะ)ตามธรรมวินัยซึ่งเป็นการแสดงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำตามปกติ คือ การติเตียนคนซึ่งควรแก่การติเตียนหรือข่ม อัน…พึงติเตียนหรือข่ม(นิคฺคเหตัพพ) โดยใช้ภาษาให้ตรงตามความเป็นจริงที่เขาเป็น เขาทำอยู่ จะได้ชัดๆ
อาตมาแสดงอย่างนัจจะคีตะวาทิตะโดยไม่มีอารมณ์ อาตมาเลิกอารมณ์โกรธได้ก่อนอารมณ์รัก เพราะโกรธมันทุกข์ แต่รักมันยังมีแฝง มันเก๊ อาตมาไม่ได้รักไม่ได้โกรธอะไรเขา อาตมากำลังพูดความจริงแล้วปรุงแต่ง ท่าทีลีลาสำเนียงเสียงเพื่อให้เข้าหูคน ผู้ที่ไม่ชอบนั้นพูดไปก็ไม่เข้าหูเขาหรอก แต่ก็ทำเผื่อเขา
“คนชั่ว”ที่ทำชั่วยิ่งๆขึ้น เนื่องมาจาก ในใจของเขาเต็มไปด้วย“กิเลสโลภ”เห็นแก่ได้มาให้ตนยิ่งขึ้นๆนั้น เขาจะแสดงตนออกไปด้วยกายกรรม วจีกรรมให้คนเข้าใจว่า“เขาเป็นคนดี-เขากำลังทำความดียิ่งๆขึ้น”ด้วยความคิดปรุงแต่งที่ดัดจริตประดิษฐ์ประดอยแสดงอาการทางกาย(กายวิญญัติ)และอาการทางวาจา(วจีวิญญัติ)ให้กลบเกลื่อน“ความชั่ว” ของเขาให้เก่งที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วเขาก็ได้กามกับอัตตาไป เขาก็สั่งสมกาม-อัตตาใส่ตัวเองไปตลอด
จึงยิ่งเป็น“กายกรรม-วจีกรรม”ที่ “ชั่ว” ซับซ้อน ชนิดที่เลวร้ายบรรยายยากมาก เพราะมัน “ดูดี” ที่ “บวกเลว” ยิ่งขึ้นๆๆๆๆ ซับซ้อน คำว่า ดูดี คำนี้คือความเลวซับซ้อนเท่าที่เขาจะฉลาดทำให้คนอื่นมองเลวที่เขามีว่าดี น่าส่งเสริม(เนียน)
แค่ “บวกเลว” คนที่โง่ก็จะหลงเชื่อ เห็นว่า “ดี” ตามกันได้สำเร็จ แต่ยังหลอกคนที่ฉลาดรู้ทัน ไม่ได้
“คนชั่ว”คนนี้ก็จะเลวยิ่งขึ้นด้วยการคิดปรุงประดิษฐ์ประดอยดัดจริต แสดงอาการทางกาย(กายวิญญัติ)และอาการทางวาจา(วจีวิญญัติ)ให้ “ดูดี” ยิ่งขึ้นกลบเกลื่อน “ความชั่ว” ของเขาเก่งยิ่งขึ้นๆเสมอ
ดังนั้น คนผู้ยิ่ง “ชั่วกว่า” ร้ายกาจกว่าจะใช้เล่ห์ฉลาดยิ่งๆขึ้น ทำให้ “ดูดี” ที่ “คูณเลว” ทับทวีเป็น“มหาเลว”ยิ่งขึ้นๆ ก็จะยิ่ง “ดูดี” ยกกำลัง “อภิมหาเลว” ที่ร้ายแรงยิ่งๆขึ้นไปอีกๆๆๆๆ
ซึ่งอาตมากำลัง “ตำหนิ” (นิคคหะ)เขา แต่ผู้เข้าใจ “พฤติภาพ” ของอาตมาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอาตมาใช้ “ธรรมวิธี” ของพระพุทธเจ้า
ผู้ไม่เข้าใจเรื่องศาสนาพุทธที่เรียนรู้ “ความบริสุทธิ์ทางจิตใจ” และความบริสุทธิ์ทาง “กายวิญญัติ-วจีวิญญัติ” แล้วแสดงความบริสุทธิ์ทั้ง “กาย-วาจา-ใจ”เป็นหนึ่งเดียวตรงกัน มันก็ซื่อๆ ตรงๆ แข็งๆ แรงๆ เป็น “ความจริงใจ” ที่แสดงความจริงอย่างสดๆ จึง “ดูค่อน” ไปข้างไม่อ่อนโยน ไม่นิ่มนวลสุภาพ แต่ก็ชัดเจนจริงใจ มั่นใจจริงๆ
ว่า…
“ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่ง ทั้งโลก ในที่สุด” แม้จะใช้เวลายาวนาน
อาตมาถ้าไม่มั่นใจศาสนาพุทธนี้จะยาวนานไปได้ถึงห้าพันปี อาตมาก็จะไม่ยอมหยุดเพียร
คนเข้าใจอาตมาผิดมาก ว่า โกรธเคือง หรือเกลียดชังนายไชยบูลย์ ไม่ชอบใจสำนักธรรมกาย หรือทำไม่ดีต่อนายไชยบูลย์-ทำร้ายนายไชยบูลย์ ดูเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง
ถ้าจะพูดให้ถูกตรง“สัจจะ”แท้แล้ว เท่าที่อาตมาพูดด้วยภาษาทั้งหลายออกมานั้น มันสื่อ“ความจริง”ที่เป็น“สภาวะผิดหรือต่ำหยาบที่ร้ายต่อทั้งโลกทั้งธรรม”ของสมี
ไชยบูลย์นี้ มันสื่อออกมาได้ไม่ถึงร้อยเชิงชั้นที่สลับกลับกลอกยอกย้อนซับซ้อนไปมาของ “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน” ที่นายไชยบูลย์เขาประมวลเอา “ความง่าย” ที่คนเข้าใจได้ ของกายวิญญัติ-วจีวิญญัติ”แสดงหลอกคน
ในธรรมกรวยมีดอกเตอร์มีเปรียญเก้าเยอะนะ อโศกมีดอกเตอร์บ้างแต่ไม่มีเปรียญเก้ามีแค่เปรียญแปดหนึ่งคน เปรียญเก้าเขาเชื่อถือในเปรียญมากกว่า
แชร์แม่ชะม้อยนี้ก็ยังไม่รู้ธัมมชโย
คนจึง“หลง”ได้ง่าย เพราะเขาเก่งยิ่งใน“เล่ห์กล”(tactics)เชิงนี้ ตามที่เขาได้สั่งสมความเก่งชนิดนี้มาหลายกัปป์หลายกัลป์ เขาจึงมีได้จริงโดยการเป็น“เจ้าของ”เล่ห์กลชนิดนี้จริง ไม่มีใครบังอาจลอกเลียน ไม่มีใครมี “พรนรก”(bad talent)ขั้นพิเศษออกปานนี้ได้เท่าเขา ใครทำเทียมเขาไม่ได้เด็ดขาด
ก็ขอยืนยันด้วยความจริงใจอย่างที่สุดว่า อาตมาไม่ได้โกรธเกลียดนายไชยบูลย์เลย แต่คนเข้าใจใน“ความเมตตานายไชยบูลย์” ของอาตมา ที่สื่อออกมานี้ ไม่ได้ เท่านั้น
อาตมา“ตำหนิติเตียน”นายไชยบูลย์จริงๆ เพราะเขาทำผิดมากจริง เขาน่าตำหนิอย่างมาก อาตมาก็ตำหนิเขามาก ตำหนิเขาหนัก ตำหนิเขาแรง เพราะเขาทำผิดแรงผิดหนักจริงๆ ก็ต้องกล่าวจริงให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นการช่วยเขาแท้ๆ
เขาทำบาป“มากกว่ามาก”เกินไปแล้ว
เช่น เขาสอนคนให้“มักใหญ่-มักมาก” (มหิจฉะ) สอนให้คนมี“ความอยากร่ำอยากรวย”(มหิจฉตา)ขนาดหนักดังที่เขาทำ เป็นต้น มันหักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิดที่“ท้าทายเย้ยหยัน”ว่า ข้าจะสอนอย่างนี้ ใครจะทำไม? พระพุทธเจ้าจะสอนยังไงก็เรื่องของพระพุทธเจ้า!! …อะไรปานนั้นเลย
เขาทำตนใหญ่จริงๆ..!!!!!
โดยเฉพาะเรื่อง“ทาน” เขาสอนชนิดคนละโลกกับพระพุทธเจ้าอย่างไม่แคร์อะไรเขาแสดงออกโจ่งแจ้ง ไม่อำพราง แสดงโวหาร แสดงวาทกรรม ให้คนเข้าใจว่า ถ้าใครมา“ทำทาน”กับเขา กับสำนักของเขาแล้ว จะพบ“ความศักดิ์สิทธิ์”ของเขา นำพาให้ผู้ทำทานประสบผลสำเร็จร่ำรวย อย่างมหัศจรรย์ เขาประกาศโป้งๆออกปานนี้
ให้“ตั้งจิตมุ่งมั่นแน่วแน่”เลยว่า จะต้อง“หวัง”ในผลทาน -ให้“ผูกพัน”กับผลทาน -ให้“สั่งสมบารมี”ในผลทาน -แล้วจะเป็น“เสบียงให้ตนไปเมื่อตายไปชาติหน้า”อีกตลอดไป
เขาสอนอย่างนี้ “หักล้าง”คำสอนของพระพุทธเจ้าสิ้นเชิง(‘ทานสูตร’ ในเล่ม ๒๓ ข้อ ๔๙)
เขาอวดวิเศษที่นอกรีต ทั้งยกตนใหญ่กว่าใครหมด ทั้งหักล้างคำสอนพระพุทธเจ้า เลอะไปด้วย“เดรัจฉานกถา-เดรัจฉานวิชา” โต้งๆ ไม่มีอาย ไม่รู้แม้แต่“ศีล”
เขาละเมิดหมดตั้งแต่“จุลศีล”ไปเดียว เช่น ข้อ ๑ “ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่”
อาตมาไม่รู้นะว่าเขาจะฆ่าสัตว์หรือเปล่า หรือจะฆ่าคนหรือเปล่า ไม่ฆ่าเองแต่จะสั่งฆ่าหรือเปล่า อาตมาไม่รู้หรอก ไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ แต่เห็นความใจดำอำมหิตสุดๆของเขาอย่างชัดแจ้งชัดเจนเหลือเกินที่เขาทำร้ายคนทรมานคน เอาเปรียบคนอย่างไม่แคร์ใดเลย
เขา“ใจ”ดำอำมหิตสุดโหดเกินมนุษย์ ทำร้ายคนด้วย“พลังโลภจัด”สุดๆ อย่างเห็นๆ
เขาขูดรีดเงินทองจากคนหนักหนาสาหัส ด้วยเล่ห์เหลี่ยมวิธีชั่วเลว อย่างไม่เคยเห็นใครจะรีดได้เก่ง“ชิบหาย”(หายนะ)ขนาดนี้มาก่อน จนคนต้องหมดเนื้อหมดตัว แล้วเขาก็ไม่เคยไยดี เขาทำปานฉะนี้ทุกคนก็เห็นก็รู้กันถ้วนทั่ว
มันเท่ากับ“เขา‘ฆ่า’คนตายทั้งเป็น” ซึ่งร้ายกาจยิ่งกว่า“ฆ่าคนตายทั้งตาย”เป็นไหนๆ
มันจึงเป็น“วิธีฆ่าคนตายทั้งเป็นที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการฆ่าคนให้ตายทั้งตาย” ซึ่งเป็นวิธีการ“เชิงซ้อนที่ซับซ้อน”ไม่รู้กี่ชั้นกี่ตลบที่ลวงให้คนหลงว่า“เขาทำดี-หวังดีต่อคนทั้งหลาย” มันสลับซับซ้อนหนักหนาจนนำมาคลี่คลายขยายหาความเป็นลำดับให้เห็นง่าย ไม่ได้ หรือหาเงื่อนต้นมาบอกได้ยากสุดยาก ตามที่อาตมาได้กำลังพยายามอยู่นี้แล
อ่านต่อ ดาวโหลดเอกสารที่…https://drive.google.com/open?id=13kJuqN3LM7XmnNWQmurG7FztMwFtFi9zFS8cTrd4_uE
ดาวโหลดเสียงที่…https://drive.google.com/open?id=0BwwToHwm35EfdVB6Q2RTdkFyeVE
Related posts