650902 กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1bZjEfSsKPSPATfunmGwkDAqo7l_8SXG6Cs187yYeo9g/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/19ZUhHTyzc8q0ps3xScCsI2X91R2ec7gu/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/sKtkmAtkO4k
และ https://fb.watch/fhJjMVckwf/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ผ่านไปครึ่งพรรษาแล้วเวลารวดเร็ว สถานการณ์โควิดก็ยังประมาทไม่ได้ อเมริกามีคนป่วย Long covid 2-4 ล้านคน และไม่รู้จะรักษากันอย่างไรด้วย เปรียบเทียบกับที่จีนใช้นโยบาย Zero covid ปิดเมืองกันไปเลยถ้าหากมีคนติดเชื้อ ส่วนประเทศไทยก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มียอดตายจาก covid ลดลงเรื่อยๆ บ้านราชฯเรา ผู้ใหญ่บ้านก็ติด ประธานอสม.ก็ติด ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคนด้วย ช่วงนี้พายุจะเข้าฝนจะตก ดูแลสุขภาพกันให้ดีก็แล้วกัน
พ่อครูว่า… (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ตอนนี้รู้สึกว่า ข้าศึกร้ายในตัว มันเอาแรง วันนี้เสลดออกมาเยอะ แถมตัวเองกัดลิ้นตัวเองด้วย เจ็บระบม แต่จวนจะหายแล้ว ตามเรื่องของขันธมาร
SMS วันที่ 31 ส.ค.- 1 ก.ย. 2565
_แว๋ว อำนาจ · ภาษาท่านด่วนดีสื่อสภาวะชัดเจน กราบสาธุค่ะ
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ…ทักษิณเหมือนเป็นคนถูกสาปเพราะพอกพูนด้วยอวิชชา ยิ่งอายุมาก แรงริษยาอาฆาตเพิ่มทวีคูณ นี่แหละคนชั่วเที่ยวว่าใครๆ แต่กลับเหมือนประจานตัวเอง ได้ฟังท่านฟ้าไท ท่านด่วนดีและท่านกล้าข้ามฝันลงรายละเอียดก็ทำให้เข้าใจความเป็นไปในสังคมที่มี กลโกง คนมีความทุกข์ยาก คนเลือกเกิดไม่ได้เป็นเพราะแรงกรรมจึงไปเกิดในถิ่นที่มักประสบภัย…กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ศึกษาไป ค่อยๆรู้จักกรรม รู้จักวิบาก มีรายละเอียดขึ้น แต่ละคนมีกรรม เป็นเจ้าเรือน กรรมเป็นของตนใครทำเป็นอันทำ จะบอกว่า ฉันทำแล้วฉันไม่เอาไม่ใช่ของฉัน ไม่ได้ มันต้องเป็นของคนทำ แล้วก็สั่งสมเป็นวิบากมาออกฤทธิ์ กว่าจะมาออกฤทธิ์ ขออภัย อาตมาขอเรียกคุณทักษิณว่า เป็นอาชญากร กว่าจะมาเป็นอาชญากรอย่างคุณทักษิณได้ มันซับซ้อน เป็นอาชญากรชนิดลอยตัว มีอำนาจมีอิทธิพล ประเทศไทยก็ใจดี ไม่ไปตามจับมา จัดการ ปล่อยเขาลอยตัวเขาก็ดิ้นไป ใจดี มันก็เลยยิ่งซับซ้อน เขาก็ยิ่งหลงตัวซับซ้อนไปใหญ่เลย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่ากรรมวิบากเป็นเรื่องซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ละเอียด ซับซ้อนลึกซึ้งไปในทางอวิชชา มันก็จะยิ่งอวิชชาซับซ้อน หนาแน่นชหนักขึ้น ไปเรื่อยๆ ถ้ามาทางวิชชามันก็จะบางซับซ้อน มีสภาพก้าวหน้า มีอัตราการก้าวหน้าที่ เป็นปฏิภาคทวีเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน เป็นความจริงที่ต้องศึกษาให้ดีๆ
เคารพในสัจธรรมที่ควรเคารพ
_คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ วันนี้ฟังรายการย้อนอดีตชาวอโศก พ่อครูเทศน์เมื่อปี 35 มีช่วงหนึ่งมีคำถามว่าคิดอย่างไรกับพระพยอมที่เทศน์ช่วงนั้น พ่อครูตอบชื่นชมพระพยอมว่าเทศน์ดี ผมจึงอยากถามพ่อครูว่าแล้วมา ณ วันนี้พ่อครูยังชื่นชมพระพยอมอยู่หรือไม่ครับ ถ้าชื่นหรือไม่ชื่น เพราะเหตุผลอะไรครับ กราบขอคำตอบกับพระรูปนี้ด้วยครับว่า ผมควรเคารพอยู่หรือไม่เพราะวัดอยู่ใกล้บ้านผมครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็คงไม่ขอระบุลงไปว่า พระพยอมเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง มันอยู่ที่ตัวคุณ ถ้าคุณเกิดปฏิภาณชปัญญาเห็นจุดบกพร่อง ตามที่คุณเห็นจริงๆด้วยจริงใจ ว่าพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ดี มันเป็นสัจจะที่คุณเองเห็น คุณก็เลือก ถ้าเห็นสัจจะที่ไปในเชิงดีมันมีมาก ก็เคารพกันมากได้ แต่เห็นเชิงไม่ดีมันมีมาก ก็ไม่เคารพ มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา เพราะฉะนั้นอยู่ที่คุณจะต้องตัดสินเองไม่ใช่ให้อาตมาไปเลือกไปตัดสินให้ อาตมาไปเลือกไปตัดสินให้ไม่ได้
เพราะ 1. ตัวคุณ 2. เหตุปัจจัยที่คุณได้ประสบ คุณอยู่บ้านใกล้วัดพระพยอมด้วย อาตมาอยู่ห่างไม่ได้พบเห็นพฤติกรรมท่านเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะมีข้อมูลเยอะแยะเท่าคุณ ไม่ได้หรอก คุณต้องตัดสินเอาเอง อาตมาขออภัยที่ตัดสินให้คุณไม่ได้ เพราะมันไม่อยู่ใน ภาวะที่อาตมาจะตัดสิน ศึกษากันไป เปรียบเทียบแล้วคุณก็เลือกเฟ้นเอา
ที่จริงเวลาคนเราก็มีไม่มากเท่าไหร่หรอก บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่น่าจะไปต้องเสียเวลาแล้วก็ตัดเสียบ้าง เอาสิ่งที่น่าสนใจน่าจะให้เวลามากๆอันนี้ ก็ควรเอาเวลามาให้ ใช่ไหม นี่ก็เป็นคำแนะนำสุดท้าย
ปฏิบัติจนรู้สึก สุข-ทุกข์ เป็นอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
_เสน่ห์ นอกกระโทก · กราบนมัสการพ่อท่าน ลูกมีความสุขมากที่สุดในโลก ยกตัวอย่างเรื่องของความทุกข์กับความสุขนั้นมีความหมาย ต่างกันคือ ความทุกข์นั้นเกิดที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่อง ผัสสะ แตกต่างกันคือ การเห็นผิดทำให้เกิดทุกข์ การเข้าใจทำให้สุข เหมือนหัวข้อที่ท่านบรรยายมา วันนี้ลูกเข้าใจทุกอย่างว่า 2 สิ่งนี้หมายความว่าความทุกข์ก็คือเห็นผิด และความสุขนั้นคือความเข้าใจ ลูกขอกราบอนุโมทนาสาธุกับพ่อครูด้วยเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ดี เข้าใจก็ดีแล้วเพราะว่ามันก็เป็นภาวะ จริงๆแล้วคุณจะต้องอาศัย อารมณ์หรือความรู้สึกที่เรียกว่า คุณก็ค่อนไปทางสบายใจ หรือพอใจสี ppl จะเรียกด้วยบัญญัติ ภาษาว่าอันนี้คือสุข ก็ยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าทุกข์มันค่อนไปทางไม่สบาย ค่อนไปในทางลำบาก ก็อยู่ที่เราเอง เราจะต้องอ่าน อารมณ์ อันนี้แหละเป็นจุดสำคัญที่จะต้องเรียนรู้จริงๆเลย จนกระทั่งเราเห็นว่า สุขทุกข์นี้
ความมันไม่เห็นต่างกันอะไร เป็นแต่เพียงว่าอนุโลมปฏิโลม ในเหตุปัจจัยตามกาละ เทศะ ฐานะใด เราก็อนุโลมไปเท่านั้นเอง จริงๆแล้วมันไม่ต่าง อะไรกัน ถ้าคุณเห็นตรงนั้นแล้ว สุดท้าย มันก็ไม่มีอะไรขัดแย้ง
กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ
_สม.เทียนคำเพชร · กราบพ่อครูได้โปรดกรุณาขยายความของ ประโยคต่อไปนี้(มาจากหนังสือ “รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม๕” หน้า๓๖๓ บรรทัดที่ ๔ และที่ ๓ นับจากข้างล่าง)ที่ว่า “กษัตริย์” นั้นคือ “จิต” หรือ “วิญญาณ” ของสังคมประเทศ “ประชาชน” คือ “กาย” ของสังคมประเทศ
พ่อครูว่า… นั่นคือประชาธิปไตยไม่สัมบูรณ์คืออย่างไร มาขยายความว่า ประชาธิปไตยจะสัมบูรณ์อย่างไร ประเด็นที่จะขยายนี้ เพราะ
-
ไม่ครบความเป็น เทฺว ที่หมายถึงภาวะ 2 เช่น ต้องมีกายกับจิต หรือมีรูปกับนาม หรือ มีชีวิตกับจิตใจ ต้องมีคู่
-
แสดงถึงความมีความเป็นคน
-
ยังไม่มีศาสตร์หรือความรู้เรื่องจิตนิยามครบถ้วนบริบูรณ์
ข้อที่ 1 ไม่ครบความเป็น เทฺว คือ ภายนอกภายใน กาย จิต รูปนาม อย่างนี้เป็นต้น วัตถุกับจิตอย่างนี้ก็ได้ ถ้า 2 อย่างในมหาจักรวาลนี้ มีอะไรขึ้นมา 2 อย่าง ต่างกันทั้งนั้น ใครจะเห็นความแตกต่างที่ละเอียดลออได้มากเท่านั้น คนนั้นก็คือ คนที่มีภาวะจิต มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เรียนรู้อภิภายตนะได้เก่งได้มากขึ้น นั่นก็เป็นไปตามภูมิ เป็นไปตามธรรม ของผู้ที่มีสูงเอง ซึ่งไม่ใช่เองหรอกต้องศึกษาต้องฝึกฝน นั่นก็คือภาวะ 2
ข้อที่ 2 ก็มีลักษณะที่แยก กายกับจิตก็ดี รูปกับนามก็ Vดี ชีวิตกับจิตใจก็ดี หรือที่เอามาถาม กษัตริย์กับประชาชนก็ดี
อาตมาขยายความว่า กษัตริย์เหมือนจิต ประชาชนเหมือนกาย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจความเป็น 2 ที่มีคู่อย่างนี้ไป ว่าจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสำคัญมาก ก็ไม่เต็ม เป็นความไม่เต็มไปเหลือแต่ 1 นี้เป็นความไม่เต็ม เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่ไม่มีความบริบูรณ์ สมบูรณ์ 2 อย่าง ที่อาตมากล่าว เป็นประชาธิปไตยที่พิการขาเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตย 2 ขาอย่างที่อาตมา ใช้ศัพท์ คำว่า 2 ขากับขาเดียว
เพราะประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์นั้น ไม่มีการสืบทอดกันทางตระกูลของนามธรรมที่เป็นวิญญาณ
ที่ใช้คำว่า “ตระกูลของนามธรรมที่เป็นวิญญาณ” คือ กษัตริย์จะสืบทอด เป็นประยูรวงศ์ สืบทอด แล้วจะต้องเรียนรู้ศึกษาฝึกฝนความเป็นเจ้า ที่จะต้องเตรียมตัว มีความรู้ในการจะบริหาร มีความรู้ในการจะอยู่กับประชาชนอย่างเป็นประชาธิปไตยหรือมีเมตตา หรือมีจิตวิญญาณที่เจริญสูงสุด มีทศพิธราชธรรม เป็นต้น
จะต้องมีคุณธรรมจริงๆ จึงจะเป็นความจริง สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความจริงดังที่อาตมากล่าว โดยสังเขป มันจึงไม่ใช่เรื่องจับแพะชนแกะ ทำอย่างฟลุ๊คๆ จับเอาชั่วคราว ไม่ใช่ ต้องเป็นเรื่องที่สืบสาวราวเรื่อง อาตมาใช้คำว่า อยู่มากับกฎมณเฑียรบาล ในประยูรวงศ์มีกฎมณเฑียรบาล ทุกองค์ต้องเตรียมตัว
อย่างในประเทศอังกฤษ เขาต้องให้ศึกษาทุกองค์เตรียมพร้อมและเขาก็ไล่ลำดับเอาไว้ ใครจะได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ใครจะเป็นคิง เป็นควีน เขาก็ไล่เรียงมาเป็นระบบ ส่วนของคนไทยก็มีอีกระบบหนึ่ง
สรุปได้ว่า มันมีกฎ หลักเกณฑ์ และจะต้องฝึกฝนพระองค์ ฝึกฝนกาย วาจา ใจ จริงๆ ต้องมีสมรรถนะ มีความสามารถ มีความรู้ มีจิตวิญญาณสูงส่ง นี่เป็นข้อบังคับเลย พระเจ้าแผ่นดินจะต้องมีสิ่งที่ประเสริฐสุดยอด สรุปง่ายๆ จะต้องเป็นคนสูงสุดประเสริฐยอด เป็นที่น่าเคารพบูชายกย่อง ทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติจริงๆ
เหมือนในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างที่สุดยอด ในยุคนี้หาประเทศไหนเทียบยาก พูดได้อย่างนั้นจริงๆเลย แล้วพระองค์ก็ทรงงานมาตั้ง 70 ปี มีหลักฐานข้อมูลให้ศึกษาได้ เอาใจใส่พระทัยในประชาชน ใช้ศัพท์อย่างชาวบ้านเรียกว่า รับใช้ประชาชนชั้นหนึ่ง ตามฐานะของพระองค์ ท่านก็ทรงได้อย่างเหมาะสมสมณสารูป เหมาะสมทุกอย่างที่ควรจะทำ
สู่แดนธรรม… พ่อท่านได้พูดว่า ความเป็นจิตวิญญาณต้องมีการสืบทอดจากสันตติวงศ์ ทำให้ฝ่ายต่อต้านสถาบันบอกว่า อย่างนี้ไม่เป็นการสืบทอดอำนาจหรือ
พ่อครูว่า… ได้ เอาคำว่า อำนาจมาขยายความ เป็นการสืบทอดอำนาจ และอำนาจนี้เป็นธรรมาธิปไตย ไม่ใช่เป็นอำนาจที่มีอัตตา อำนาจที่เห็นแก่ตัว แต่เป็นอำนาจของธรรมาธิปไตย คำว่าอธิปไตยแปลว่าอำนาจ เป็นอำนาจโดยธรรม เป็นอำนาจที่เป็นธรรมะประเสริฐสูงส่ง โดยความเป็นจริงนะ ไม่ใช่เอาพูดแต่เพียงภาษา เท่านั้น แต่เป็นพฤติกรรมจริง จิตวิญญาณมีภูมิปัญญาจริง มีคุณธรรมคุณวิเศษที่เป็น โลกุตรธรรม ถึงขั้นไม่มีตัวตน ถึงขั้นรับใช้ประชาชน ถึงขั้นซื่อสัตย์ ถึงขั้นมีสมรรถนะ ความสามารถในการที่จะทำงานให้กับประชาชน นี่เป็นเนื้อแท้ของประชาธิปไตย
ถ้ามีคุณสมบัตินี้ สังคมนั้นดี สังคมนั้นสงบ สังคมนั้นอยู่เย็นเป็นสุข แน่นอน อย่างเมืองไทยเรานี่สูงสุด อาตมาพูดนี้น่าหมั่นไส้ ในโลกมีตั้ง 200 กว่าประเทศ
และพูดอย่างนี้ ที่บางประเทศเขายกให้ประเทศไทย อยู่ในระดับ top ten เหมือนกันนะ เป็นประชาธิปไตย หรือว่าที่มีความเจริญ เป็นประเทศเล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็กนัก เล็กกว่านี้ยังมีอีกเยอะ เขาก็จัดอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10
แต่จริงๆแล้ว เขาไม่ได้รู้ละเอียดลออถึงโลกุตระที่แท้ ว่ามาจากต้นรากของจิตเป็นประธาน ว่ามีคุณสมบัติโลกุตรธรรม พระเจ้าแผ่นดินไทย ร.9 มีคุณสมบัติโลกุตรธรรมที่แท้ แต่เขาเข้าใจไม่ได้แต่เขาก็พอใจเขาก็ให้อยู่ เขาก็พอมองออก โลกียะ แต่ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนโลกุตระที่สมบูรณ์แบบ
สู่แดนธรรม… พวกที่ต่อต้านกษัตริย์เขาจะยกย่องระบบประธานาธิบดี ที่พ่อท่านบอกว่าเอาใครมาก็ไม่รู้ เขาบอกว่า เป็นข้อดีที่ตัดทอนการสืบทอดอำนาจ 4 ปีจบไปแล้วก็เลือกตั้งใหม่
พ่อครูว่า…เพราะฉะนั้นคุณก็จะได้อำนาจจากใครก็ไม่รู้ พยายามหาวิธี แท็กติกต่างๆ สั่งสอนวิธีการที่จะมาเป็นใหญ่ คนนั้นก็มาเป็นอย่างที่เขาเป็น ซึ่งมันไม่มีคุณธรรม มันไม่มีการสืบทอดโดยสัจธรรม ไม่มีระบบระเบียบ ไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีวิธีการศึกษา ซึ่งจะต้องทรงประพฤติอย่างนั้นจริงๆ จะต้องฝึกฝนอย่างนั้นมาจริงๆ เขาไม่มี จับแพะชนแกะ เรียกว่า จับหมาหลง คือเดินถือถุงเงินมาหว่านลงตรงนี้ แล้วก็ได้รับเลือกเป็นใหญ่ในที่นั้น นี่เขาเรียกว่า แดนหมาหลง เอาเสาไฟฟ้ามาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างที่ทักษิณว่า ตอนนั้นคนเผลอๆก็ได้อย่างนั้น แต่แล้วอยู่ไม่ได้นาน เพราะพวกเราก็เข้าไปประท้วง ไล่ไปจนทั้งตระกูลเลย ตอนนี้เขาก็ยังดิ้นรนอยู่ เขายังไม่เชื่อว่า เขาหมดอำนาจแล้ว เป็นไปไม่ได้ เขายังไม่เชื่อ เขาไม่รู้หรอกว่า อำนาจของประชาชน ความรู้ของประชาชน เขาตื่นหมดแล้ว เขาก็หลงในหมู่คนที่ป้อยอ ที่ล้วงกระเป๋าเขาอยู่เท่านั้นแหละ
และกิเลสของเขาที่เขายังไม่ยอมหยุด เขายังหวังลมๆแล้งๆว่าเขาจะได้ เพราะมันยังมีอะไรที่เป็นรูปเป็นรอย ตอนนี้ก็ฝากไว้ที่อุ๊งอิ๊ง แล้วก็ฝากไว้ที่คณะเพื่อไทยอะไรพวกนี้ เขาก็ยังว่าเขายังมีอิทธิพล มีอำนาจมีอะไรที่จะต้องได้
เขายังไม่ขาดใจตาย เขาจะเอาให้ได้ เพราะเขาบอกแล้วว่าเขาสะกดคำว่า แพ้ไม่เป็น เพราะฉะนั้น คนที่สะกดคำว่า แพ้ไม่เป็นนี่คือ คนที่โง่ไม่เสร็จโง่ Infinity โง่ eternity ตลอดกาลเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาไม่ได้ใส่ความ
กลับมาขยายความที่สิกขมาตถามที่บอกว่า กษัตริย์นั้นคือจิตวิญญาณของสังคมประเทศ ประชาชนคือกายของสังคมประเทศ ในหนังสือ อธิบายต่อว่า กาย คือภาวะ 2 ที่ขาดภายนอก และขาดภายในอันคือจิตวิญญาณ ไม่ได้ หมายความว่ากายต้องมีจิตวิญญาณทั้งภายนอกภายในต้องมีจิตวิญญาณทั้งนั้นขาดไม่ได้ ถ้าขืนขาดจิตวิญญาณ ก็มีแต่ร่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… เขาเปรียบเทียบว่าประชาธิปไตยทุกวันนี้เหมือนกับกัปตันจะพาผู้โดยสารบินไป แต่กัปตันมาโม้ ว่าถ้านั่งเครื่องของผมบริการเต็มที่ จะได้นั่งชั้น 1 หมดทุกคน คนก็แห่กันไป โดยที่ไม่รู้ว่ากัปตันมีคุณสมบัติอย่างไร มีแต่คุยโม้ ว่าจะให้สิทธิพิเศษต่างๆนานา เหมือนประชาธิปไตยยุคนี้เป็นแบบนี้
พ่อครูว่า… มาเข้าสู่ ความละเอียดของคำว่า กาย กับ จิต
มันทำให้งงตรงที่ คำว่า กาย มันยังมีความเข้าใจผิดตามที่เคยเชื่อ เคยถือ เคยยึดมาเก่าๆ ว่า กายนี่ มันคือหนึ่งเท่านั้น มันคือร่างภายนอกอย่างเดียว มันมาเป็นภาษาไทยสนิทสนมแล้วนะ คำว่ากาย ก็เลยงงกันอยู่
แต่ถ้าเข้าใจได้ว่า กาย นี้ ไม่ได้มีความเป็นหนึ่ง กายนี้เป็น คืองค์ประชุม ในพจนานุกรมไทยบาลีแทบทุกอัน แปลว่า หมวดหมู่ แปลว่าฝูง ไม่ได้แปลว่า 1 กายนี้มี 2 องค์ประชุมขึ้นไป หรือสังขารที่ปรุงแต่งร่วมกันจาก 2 ธาตุขึ้นไปโดยเฉพาะมีนามเป็นหลัก ซึ่งพระพุทธเจ้าก็จะลงไปเลยว่า ตถาคตเรียกกายนี้ว่า จิต มโน วิญญาณ
ขนาดในภาษาไทยมีพยัญชนะ คำว่า กาย ที่เข้าใจผิดๆถูกๆกันมา จนกระทั่งอาตมาเอามาฟื้นเพื่อให้ถูกแท้ ในความเป็น 2 นี่แหละ ที่ไปเข้าใจว่าเป็น 1 มันผิด แค่นี้แหละ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ คุณก็จะเริ่มรู้แล้วว่า อ๋อ..
ประชาธิปไตยขาเดียว หมายความว่ามีแต่ร่าง ไม่มีจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีจิตวิญญาณมันก็แข็งกระด้าง ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นวิญญาณ โดยเฉพาะธาตุรู้ที่เป็นกุศล ที่เป็นธาตุประเสริฐ ที่เป็นความเมตตา ความเกื้อกูล ความช่วยเหลือ ความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่มีตัวตน คุณไม่รู้เรื่องอะไร คุณไม่ได้ศึกษา
พวกประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้ศึกษาหรอก แล้วเขาก็ดิ้นรนและเขาก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียวนี้ไปเถอะ อาตมาให้ 500 ปีอย่างมาก ความรู้มันจะรู้ทั่วแล้วยิ่งทุกวันนี้มันเจริญทางความรู้ แต่คนมันมีกิเลสมันเป็นไปไม่ได้เท่านั้นเอง แต่โลกุตระนี้จะเจริญขึ้นไปอีก จนกว่าจะหมดยุค หมดกัปนี้ไป
มาสรุปอีกทีว่า กษัตริย์ คือวิญญาณ คือจิต ส่วนประชาชนคือ คน คนนั้นมีกาย มีจิต เพราะฉะนั้น กษัตริย์คือจิต กษัตริย์มีจิต จึงมีหนึ่งเดียวกันกับประชาชนคือมีจิตร่วมกัน แล้วกษัตริย์ก็จะต้องเข้าใจเรื่อง 2 อย่างคือ กายกับจิต แล้วก็จะต้องพยายามจัดการให้เขามีชีวิตอยู่
คนที่ไม่มีความรู้ กายกับจิตเขาก็จะไม่สามัคคีกัน ไม่ลงกัน ก็ต้องพยายามให้เขาเข้าใจ ให้มันอยู่กันให้ได้ กายกับจิตนั้น อย่าแยกเป็น 2 เพราะแยกกันไปไม่ได้ กายกับจิตมันแยกกันไม่ได้ ภาวะรูปกับนาม หรือภาวะกาย จะแยกจิตกับร่างไม่ได้แยกภาวะ 2 ไม่ได้ แต่มาเป็นภาวะ 1 หมายความว่าสมังคี หมายความว่า รวมตัวกันลง ประชุมลงเป็นหนึ่ง เอกสโมสรณาภวันติ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 สน
มันก็ประชุมกันระหว่าง 2 คือจิตกับกาย คุณต้องมีกายกับจิตแล้วประชุมลงไป เพราะฉะนั้นกษัตริย์คือกายกับจิต กษัตริย์คือมีกายกับจิตมีความรู้เรื่องกายกับจิต แล้วก็ประชาชนชัดๆก็คือ ประชาชนไม่มีความรู้เท่ากษัตริย์หรอก แต่กษัตริย์ต้องช่วยผู้ไม่รู้ เหมือนลูกเหมือนหลาน เขาไม่รู้ก็ต้องช่วย
-
ให้เขารู้ 2. ให้เขาเข้าใจตัวจริงแล้วเขาก็ทำได้ เพราะฉะนั้นกษัตริย์จึงต้องทำงานหนักมาก โลกมันจะมีอวิชชามันจะไม่รู้เยอะ แต่กษัตริย์นี้จะต้องทำให้ได้ กษัตริย์ ร.9 นี้ทำได้ ที่ดีมาก ที่ดีมากก็เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มาตั้งแต่เกิดเมืองไทยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้ว่าโลกุตรธรรมจะเสื่อมไป กษัตริย์ก็เป็นโพธิสัตว์ท่านก็มีความรู้ในเรื่องของความจริงที่เป็นโลกุตระมาแล้ว แถมอาตมาเข้ามาอีก เอาโลกุตระมาช่วยในยุคที่ ท่านก็ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ท่านก็ได้รับความรู้ที่อาตมาสาธยายกระจายนี้ด้วยอยู่บ้าง มันก็เลยสมทบขึ้นมาได้ แล้วท่านก็เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ของพระองค์ อาตมาอยู่ในฐานะหมาหัวเน่าด้วย ในสังคม แต่ท่านเองท่านทรงรู้ท่านทรงเข้าใจ แล้วท่านก็รู้จักสังคมด้วยว่า